ข่าวเศรษฐกิจ

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เสี่ยงขาดดุลสูง ทำเครดิตลด  เศรษฐกิจอาจพัง

9 ต.ค. 66
แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เสี่ยงขาดดุลสูง ทำเครดิตลด  เศรษฐกิจอาจพัง

เพราะอะไร โครงการ แจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท ที่ใช้เงินงบประมาณราว  560,000 ล้านบาท จึงเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายกำลังจับตามอง ถึงขนาดสื่อนอกประเทศกำลังตั้งคำถาม ว่าการแจกเงินที่มีวงเงินสูงถึง 560,000 ล้านบาทในขณะนี้สมควรหรือไม่ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เสี่ยงขาดดุลสูง ทำเครดิตประเทศลด  เศรษฐกิจไทยอาจพัง

 383783703_899937134835270_523

เนื่องจา่กในเวลานี้โลกเรากำลังพบกับเหตุการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยนั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ปรับตัวขึ้นจากระดับ 0.00% ในเดือนมีนาคม 2563 สู่ระดับ 2.75% ในเดือนกันยายน 2566 ซึ่งถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 40 ปี สาเหตุของอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากปัจจัยหลักสองประการ ได้แก่

 

  • เงินเฟ้อที่สูงขึ้น เงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยของกลุ่มประเทศ G7 อยู่ที่ 7.5% ในเดือนมิถุนายน 2566 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี สาเหตุหลักของเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาจากปัจจัยด้านอุปทาน เช่น ราคาพลังงานและอาหารที่พุ่งสูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และปัญหาด้านอุปทานในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

 

  • นโยบายการเงินผ่อนคลายในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ธนาคารกลางทั่วโลกได้ดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค นโยบายการเงินผ่อนคลายเหล่านี้ส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น และนำไปสู่การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีส่วนทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น

 

ดังนั้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ธนาคารกลางทั่วโลกจึงเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 7 ครั้งนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 และคาดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกหลายครั้งในปีนี้ 

 

สื่อนอกชี้ นโยบาย เงินดิจิทัล 10,000 บาท  ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าที่หวัง

 376630653_888373479324969_733

สำหรับนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของรัฐบาลไทย กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากสถาบันจัดอันดับเครดิตระดับโลก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเพิ่มหนี้สาธารณะของประเทศและทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว

 

  • “มูดีส์” (Moody’s) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำของโลก แสดงความกังวลว่า นโยบายการคลังของประเทศไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการขาดดุลการคลัง รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้ภาครัฐมากขึ้น โดย “มูดีส์” ระบุว่า นโยบายการคลังของไทยในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ผ่านมาตรการต่างๆ เช่น การให้เงินช่วยเหลือประชาชน การพักชำระหนี้ และการลงทุนภาครัฐ ซึ่งมาตรการเหล่านี้ต้องใช้เงินจำนวนมาก และอาจส่งผลให้เกิดการขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ “มูดีส์” ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางการคลังในระยะกลางของไทย ว่ารัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป หากหนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น อันดับเครดิตของประเทศก็จะลดลงด้วย

 

  • สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ย 5% ตลอด 4 ปีข้างหน้า แต่แผนการดำเนินงานแรกๆ ของรัฐบาลชุดนี้กลับเป็นความพยายามในการผลักดันนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ซึ่งมีงบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในโครงการสูงกว่า 5 แสนล้านบาท

 

  • “ฟิทช์ เรตติ้ง” (Fitch Ratings) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ แสดงความกังวลว่า นโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของรัฐบาลไทย มีความเสี่ยงที่จะทำให้รัฐบาลไม่สามารถรักษาเสถียรภาพระดับหนี้สาธารณะได้ สำหรับงบประมาณการคลังของไทยตกต่ำเป็นเวลานาน และการดำเนินนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” มีงบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท ซึ่งต้องใช้เงินกู้มาใช้จ่าย หากมีการกู้ยืมเพิ่ม ก็จะยิ่งทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ “ฟิทช์ เรตติ้ง” ยังแสดงความกังวลว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายแจกเงินอาจไม่สามารถพยุงการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแรง หากเศรษฐกิจไทยไม่เติบโตได้ตามคาดการณ์ อันดับเครดิตของประเทศก็จะลดลง

 

  • เอสแอนด์พี” (S&P Global Ratings) แสดงความกังวลว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายแจกเงินของรัฐบาลไทย จะทำให้รัฐบาลเป็นหนี้เร็วขึ้น และอาจส่งผลให้อันดับเครดิตของประเทศลดลง โดยระบุว่า นโยบายแจกเงินของรัฐบาลไทย มีงบประมาณสูงถึง 5 แสนล้านบาท ซึ่งต้องใช้เงินกู้มาใช้จ่าย หากมีการกู้ยืมเพิ่ม ก็จะยิ่งทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ เอสแอนด์พี มองว่า ตัวเลขจีดีพีของไทยในปีนี้จะเติบโต 2.8 เปอร์เซ็นต์ และในปีหน้า (ปี 2567) จะขยายตัวเพิ่มเป็น 3.5 เปอร์เซ็นต์ โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่กำลังทยอยฟื้นตัว รวมถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ แต่อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไทยยังคงดำเนินนโยบายแจกเงินต่อไป อาจทำให้หนี้สาธารณะของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว

 

นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องการดำเนินนโยบายพักชำระหนี้ไปพร้อมกับการแจกเงินดิจิทัลด้วย ท่ามกลางการก่อหนี้ที่เพิ่มขึ้น จึงมีแนวโน้มที่ประเทศจะขาดดุลทางการคลัง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงในการรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ได้

 

เพื่อไทย โต้ เศรษฐกิจไทยยังเติบโตต่ำ จำเป็นต้องกระตุ้นให้พ้นโคม่า

 387745127_905371414291842_128

ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการผ่านช่องทาง Facebook Fanpage : เพื่อไทย โดยมีใจความว่า นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย มองว่า การที่รัฐบาลทบทวนนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทนั้น อาจจะเป็นความมุ่งหวังทางการบริหารที่ต่ำไปหน่อย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนมาก เป้าหมายของรัฐบาลที่นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ต้องการสร้างการเติบโตเฉลี่ยตลอด 4 ปี ที่ 5% จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและเป็นความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ

โดยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะเป็นการเติมหรือเพิ่มกำลังซื้อครั้งใหญ่ให้กับประเทศ กระจายอยู่ในทุกชุมชน จำนวนเงิน 10,000 บาทต่อคน จะช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพให้ประชาชนเดินต่อได้ และดึงดูดการลงทุนเปิดธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้น เงินจำนวนนี้จะหมุนเวียนต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจของไทย

ส่วนของความกังวลเรื่องที่มาของเงินรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อพิจารณารายละเอียดโครงการอย่างรอบคอบ โดยคณะกรรมการฯ ประกอบด้วยตัวแทนจากภาคส่วนต่างๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ เพื่อให้มั่นใจว่า โครงการจะดำเนินไปด้วยความโปร่งใสและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด

“รัฐบาลมีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศอย่างรวดเร็ว เป็นการปั้มหัวใจเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน เพื่อปลุกกำลังซื้อให้ฟื้นตัว ช่วยให้เศรษฐกิจประเทศพ้นจากโคม่า จากนั้นรัฐบาลก็จะมีนโยบายอื่นๆ เข้ามาเสริมเพื่อให้ประชาชนสามารถสร้างรายได้ เศรษฐกิจหมุมเวียน ซึ่งจะเป็นการฟื้นประเทศไทยให้มีความสามารถในแข่งขัน โดยยึดกรอบวินัยการเงินการคลังของประเทศอย่างรัดกุม” รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำ

ที่มา  FB เพจ พรรคเพื่อไทย,S&P Global Ratings,Fitch Ratings,Bloomberg,Moody’s

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT