เศรษฐกิจไทยกำลังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด เงินเฟ้อที่ยังคงเป็นประเด็นร้อน โดยเดือนมิ.ย.อัตราเงินเฟ้อเติบโตในอัตราชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนทั่วไป ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็เป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงความรู้สึกและมุมมองของคนไทยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณไปเจาะลึกสถานการณ์เงินเฟ้อและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมิถุนายน 2567 พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเหล่านี้ เพื่อให้คุณเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน และสามารถวางแผนการเงินของคุณได้อย่างเหมาะสม
เงินเฟ้อไทย เดือนมิ.ย.2567 โตอัตราชะลอตัวลง
ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนมิถุนายน 2567 ปรับตัวสูงขึ้นแตะ 108.50 ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นประกอบด้วย การสิ้นสุดผลของฐานราคาค่าไฟฟ้าที่ต่ำในปีก่อนหน้า และราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศ โดยสูงขึ้น 1.54% YoY เร่งตัวขึ้นจากปัจจัยชั่วคราว อยู่ในอันดับที่ 23 จาก 126 เขตเศรษฐกิจ และอยู่ในอันดับที่ 2 จาก 8 ประเทศในอาเซียน ณ เดือนพฤษภาคม 2567
ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น 0.48%
โดยราคาสินค้าและบริการในเดือนมิถุนายน พบว่า หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีราคาสูงขึ้น 0.48% โดยสินค้าที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ไข่ไก่ ผลไม้สด (มะม่วง ทุเรียน กล้วยน้ำว้า แตงโม กล้วยหอม องุ่น สับปะรด) ผักสด (มะเขือเทศ ขิง ฟักทอง พริกสด ต้นหอม บวบ ผักบุ้ง มะเขือ ผักชี) อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้าน (กับข้าวสำเร็จรูป ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว อาหารตามสั่ง) เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ (กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำหวาน กาแฟ (ร้อน/เย็น)) และเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาลทราย กะทิสำเร็จรูป น้ำพริกแกง) ในขณะเดียวกัน สินค้าบางรายการมีราคาลดลง อาทิ เนื้อสุกร มะนาว ปลาทู น้ำมันพืช ไก่ย่าง ส้มเขียวหวาน หัวหอมแดง และกระเทียม
ส่วนราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น 0.71% โดยมีสินค้าสำคัญที่ราคาเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน) ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล (แป้งทาผิวกาย ยาสีฟัน ค่าบริการตัดแต่งทรงผมสุภาพบุรุษและสตรี กระดาษชำระ) และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (สุรา เบียร์)
ทั้งนี้ ยังมีสินค้าหลายรายการที่ราคาปรับตัวลดลง อาทิ ค่ากระแสไฟฟ้า ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม น้ำยาล้างห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง) เสื้อยืดและเสื้อเชิ้ตสุภาพบุรุษและสตรี
เงินเฟ้อพื้นฐานยังทรงตัว
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารสดและพลังงาน พบว่ามีอัตราเพิ่มขึ้น 0.36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนพฤษภาคม 2567 ในส่วนของดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2567 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ลดลง 0.31%
สาเหตุหลักมาจากราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่ปรับตัวลดลง 0.67% โดยเฉพาะผักสด (มะเขือ ถั่วฝักยาว มะนาว แตงกวา ผักคะน้า ผักชี ผักบุ้ง ผักกาดขาว) เนื้อสุกร ปลาทู น้ำมันพืช และบริการอาหารสั่งทางโทรศัพท์ (Delivery) ในทางกลับกัน ไข่ไก่ ทุเรียน มะม่วง และไก่ย่าง มีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
สำหรับหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ราคาลดลง 0.07% เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบางประเภท (แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน) และของใช้ส่วนบุคคลบางรายการ (แชมพู สบู่ถูตัว ยาสีฟัน) ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม สินค้าบางรายการยังคงมีราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันดีเซล ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และค่าบริการตัดแต่งทรงผมสุภาพบุรุษและสตรี
แนวโน้มเงินเฟ้อไตรมาส 3 ใกล้เคียงไตรมาส 2
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสที่ 2
โดยปัจจัยที่ยังคงกดดันให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ได้แก่
- อัตราค่าไฟฟ้าภาคครัวเรือนที่ยังคงต่ำกว่าปีก่อนหน้า อันเป็นผลมาจากมาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพของภาครัฐ
- สภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อภาคการเกษตร ภายหลังจากช่วงสภาพอากาศร้อนจัดสิ้นสุดลง ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นและราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
- กิจกรรมส่งเสริมการตลาดของผู้ประกอบการค้าส่งและค้าปลีก รวมถึงการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีการแข่งขันสูง
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่
- ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ที่มีการกำหนดเพดานไว้ไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
- อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
- ความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและค่าระวางเรือ และส่งผลต่อต้นทุนการนำเข้าสินค้า
ก.พาณิชย์ ประมาณการอัตราเงินเฟ้อปี 2567 ที่ 0.0-1.0%
กระทรวงพาณิชย์ยังคงประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2567 ไว้ที่ 0.0% ถึง 1.0% (ค่ากลาง 0.5%) ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และอาจมีการทบทวนอีกครั้งหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคทรงตัว
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนมิถุนายน 2567 พบว่าปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 52.3 จาก 52.4 ในเดือนก่อนหน้า แต่ยังคงอยู่ในช่วงเชื่อมั่นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 19 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565) โดยดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 44.5 จาก 44.1 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ลดลงเป็น 57.5 จาก 57.9
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้แก่
- สถานการณ์ภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้ชะลอตัว
- ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากปัญหาภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
- ความกังวลเกี่ยวกับภาระค่าครองชีพและราคาพลังงาน
อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐที่ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวช่วยส่งผลดีต่อธุรกิจบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นยังคงอยู่ในเกณฑ์เชื่อมั่น
เหตุผลที่เงินเฟ้อเดือนมิถุนายนชะลอตัว
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของไทยในเดือนมิถุนายน 2567 อยู่ที่ 108.50 เพิ่มขึ้น 0.62% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า (มิถุนายน 2566) ที่ 107.83 การเติบโตที่ชะลอตัวลงนี้มีสาเหตุหลักมาจากฐานค่าไฟฟ้าที่ต่ำในเดือนก่อนหน้าที่กลับสู่ระดับปกติ ประกอบกับราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเพาะปลูกหลังจากคลื่นความร้อนสิ้นสุดลง สำหรับสินค้าและบริการอื่นๆ นั้นมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายละเอียดเพิ่มเติม เงินเฟ้อเดือนมิถุนายน มีดังนี้
หมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.48 โดยมีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ดังนี้
- กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้น 4.31% (ข้าวสารเจ้า, ข้าวสารเหนียว, ขนมอบ, เส้นก๋วยเตี๋ยวสด)
- กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้น 4.07% (ไข่ไก่, นมสด, นมผง, นมถั่วเหลือง, ไข่เป็ด)
- กลุ่มผลไม้สด สูงขึ้น 2.68% (มะม่วง, ทุเรียน, กล้วยน้ำว้า, แตงโม, กล้วยหอม, องุ่น, สับปะรด)
- กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.90% (กาแฟผงสำเร็จรูป, น้ำหวาน, กาแฟ (ร้อน/เย็น))
- กลุ่มผักสด สูงขึ้น 1.50% (มะเขือเทศ, ขิง, ฟักทอง, พริกสด, ต้นหอม, บวบ, ผักบุ้ง, มะเขือ, ผักชี, มะระจีน, กะหล่ำปลี)
- กลุ่มอาหารบริโภคในบ้าน สูงขึ้น 0.75% (กับข้าวสำเร็จรูป, ก๋วยเตี๋ยว, อาหารว่าง, ข้าวแกง/ข้าวกล่อง)
- กลุ่มอาหารบริโภคนอกบ้าน สูงขึ้น 0.58% (อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง), อาหารเย็น (อาหารตามสั่ง))
- กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้น 0.40% (น้ำตาลทราย, กะทิสำเร็จรูป, น้ำพริกแกง)
สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่
- กลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ลดลง 3.34% (เนื้อสุกร, ปลาทู, ไก่ย่าง)
หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวสูงขึ้น 0.71% โดยมีสินค้าที่ราคาสูงขึ้น ดังนี้
- หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร สูงขึ้น 2.41% (แก๊สโซฮอล์ 91, 95 และ E20, น้ำมันดีเซล, น้ำมันเบนซิน 95, ค่ารถรับส่งนักเรียน)
- หมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้น 1.53% (สุรา, บุหรี่, เบียร์)
- หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา สูงขึ้น 0.71% (เครื่องถวายพระ)
- หมวดการตรวจรักษา และบริการส่วนบุคคล สูงขึ้น 0.12% (แป้งทาผิวกาย, ยาสีฟัน, ค่าแต่งผมสตรีและบุรุษ, กระดาษชำระ)
สำหรับสินค้าที่ราคาลดลง ได้แก่
- หมวดเคหสถาน ลดลง 0.82% (ค่ากระแสไฟฟ้า, ผงซักฟอก, น้ำยาปรับผ้านุ่ม, น้ำยาล้างห้องน้ำ, ผลิตภัณฑ์ซักผ้า (น้ำยาซักแห้ง))
- หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ลดลง 0.53% (เสื้อยืดบุรุษและสตรี, เสื้อเชิ้ตบุรุษและสตรี)
เงินเฟ้อพื้นฐาน (เงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.36% (YoY)
ดัชนีราคาผู้บริโภค เดือนมิถุนายน 2567 เทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 ลดลง 0.31% (MoM)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิถุนายน 2567: ทรงตัวในระดับที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่น แม้เผชิญปัจจัยลบ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมประจำเดือนมิถุนายน 2567 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 52.4 ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 52.3 อย่างไรก็ตาม ระดับดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ต่อเนื่องมาเป็นเดือนที่ 19 (นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2565) แม้ดัชนีความเชื่อมั่นโดยรวมจะลดลงเล็กน้อย แต่ดัชนีความเชื่อมั่นในสถานการณ์ปัจจุบันกลับปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 44.5 จาก 44.1 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต (3 เดือนข้างหน้า) ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 57.5 จาก 57.9
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ดัชนียังคงอยู่ในระดับที่สะท้อนถึงความเชื่อมั่น แม้เผชิญกับปัจจัยลบ ได้แก่
- สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
- ความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ อันเนื่องมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
- ความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาระค่าครองชีพและราคาพลังงานที่ยังคงมีอยู่
อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยว ได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจบริการและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และความเปลี่ยนแปลงรายภาค/รายอาชีพ
ปัจจัยที่มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จากการสำรวจพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมากที่สุด คือ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจภายในประเทศ (48.17%) รองลงมาคือ
- มาตรการภาครัฐ (12.38%)
- ราคาสินค้าเกษตร (10.53%)
- สภาวะทางสังคมและความมั่นคง (8.28%)
- ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (7.08%)
- เศรษฐกิจโลก (6.07%)
- สถานการณ์ทางการเมือง (4.36%)
- ภัยพิบัติทางธรรมชาติและโรคระบาด (1.33%)
- ปัจจัยอื่นๆ (1.80%)
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกตามภูมิภาค
- ภาคกลาง และ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวสูงขึ้นเป็น 52.9 และ 55.3 ตามลำดับ
- ภาคใต้ มีดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเป็น 49.6
- กรุงเทพฯ และปริมณฑล และ ภาคเหนือ มีดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวลดลงเป็น 52.6 และ 49.8 ตามลำดับ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจำแนกตามอาชีพ
- พนักงานเอกชน ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 51.1 มาอยู่ที่ระดับ 51.3
- พนักงานของรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 57.6 มาอยู่ที่ระดับ 57.7
- รับจ้างอิสระ ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากระดับ 49.0 มาอยู่ที่ระดับ 49.2
- เกษตรกร ปรับตัวลดลง จากระดับ 52.4 มาอยู่ที่ระดับ 52.1
- ผู้ประกอบการ ปรับตัวลดลง จากระดับ 54.2 มาอยู่ที่ระดับ 53.7
- นักศึกษา ปรับตัวลดลง จากระดับ 53.0 มาอยู่ที่ระดับ 52.5
- ไม่ได้ทำงาน/บำนาญ ปรับตัวลดลง จากระดับ 49.9 มาอยู่ที่ระดับ 47.6
เมื่อพิจารณากลุ่มผู้เชี่ยวชาญ พบว่า ดัชนีฯ ปรับลดลง จากระดับ 48.5 มาอยู่ที่ระดับ 42.5
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนมิถุนายน 2567 ยังคงมีความผันผวนและต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แม้ว่าเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลง แต่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันและค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง อาจส่งผลให้เงินเฟ้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นได้อีกในอนาคต
ในขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ทรงตัว แม้จะเผชิญกับความกังวลด้านเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือน ก็เป็นสัญญาณบวกที่บ่งชี้ว่าคนไทยยังคงมีความหวังและมองเห็นโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การวางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบและติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เราสามารถรับมือกับความผันผวนและความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมอง H2/2567 เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น กรอบเป้าหมาย 1-3%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมองเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงครึ่งปีหลังของปีเร่งสูงขึ้นและกลับสู่กรอบเป้าหมายของกนง. ที่ 1-3% แต่ยังคงประมาณการเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปี 2567 ที่ 0.8%
โดยคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยจะอยู่ใกล้เคียง 1.0% ในไตรมาส 3/2567 และอาจเร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ราว 2.0% ในไตรมาส 4/2567 (รูปที่ 2) ตามปัจจัยฐานต่ำในปีก่อนหน้า ประกอบกับภาครัฐอาจมีการทยอยลอยตัวราคาพลังงานในประเทศเพิ่มเติม หลังการตรึงราคาน้ำมันดีเซลขายปลีกในประเทศที่ 33 บาท/ ลิตร จะสิ้นสุดลงปลายเดือนก.ค. 2567 นี้ ท่ามกลางภาระหนี้กองทุนน้ำมันและกฟผ. ที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกคาดว่าจะยังทรงตัวในระดับสูงท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัจจัยความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีอยู่ต่อเนื่อง นอกจากนี้ หากมีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในเดือนต.ค. 2567 ก็จะเป็นปัจจัยกดดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 4/2567