ข่าวเศรษฐกิจ

เจ้าภาพ 'โอลิมปิก' ต้องจ่ายอะไรบ้าง? คุ้มค่าหรือไม่? หากที่ผ่านมามีเจ้าภาพเดียวเท่านั้นที่ได้กำไร

19 ก.ค. 67
เจ้าภาพ 'โอลิมปิก' ต้องจ่ายอะไรบ้าง? คุ้มค่าหรือไม่? หากที่ผ่านมามีเจ้าภาพเดียวเท่านั้นที่ได้กำไร

ปลายเดือนกรกฎาคมหนึ่งในอีเวนท์ใหญ่ที่ทุกคนรอคอยได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือ ‘การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก’ ที่คราวนี้เมืองปารีส ฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพ และกำลังจะมีพิธีเปิดในวันที่ 26 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ โดยคาดว่าจะมีนักกีฬาถึง 10,714 คน จาก 206 ประเทศเข้าร่วม

การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นงานแข่งขันกีฬาที่หลายๆ ประเทศอยากจัด เพราะเป็นอีเวนท์ที่ดึงดูดคนให้เข้าไปท่องเที่ยวและชมการแข่งขันในประเทศ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล และเปิดโอกาสให้ประเทศนั้นๆ แสดงและเผยแพร่วัฒนธรรมให้คนทั่วโลกชมผ่านการถ่ายทอดสด ซึ่งเป็นการส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์อีกทางหนึ่ง

แต่ทั้งที่เหมือนจะมีแต่ภาพสวยหรูแบบนี้ การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกนั้นก็อาจไม่ได้มีแต่ด้านดี และอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจของเจ้าภาพได้เช่นกัน เพราะเป็นงานที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว และตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่มา มีเพียงเจ้าภาพเดียวเท่านั้นที่ได้กำไรจากการจัดงานนี้

ในวันนี้ SPOTLIGHT จึงอยากชวนทุกคนมาดูกันว่าต้นทุนจัดโอลิมปิกนั้นมีอะไรบ้าง? และการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกนั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่?
afp__20240718__364h6vd__v2__h

เสียเงินเป็นร้อยล้าน งานอาจไม่ได้จัด

ตามกฎของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee หรือ IOC) เส้นทางในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเริ่มขึ้นจากการยื่นประมูลขอเป็นเจ้าภาพกับ IOC ซึ่งจะเกิดขึ้นประมาณ 7-11 ปีก่อนมีการจัดการแข่งขันจริง 

โดยหากประเทศไหนมีความสนใจที่จะเป็นเจ้าภาพ คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติ (National Olympic Committee) ของประเทศนั้น จะต้องจัดทำรายงานแผนการ งบประมาณ และความพร้อมของเมืองที่จะเป็นสถานที่จัดให้แก่ IOC เป็นผู้คัดเลือก

ดังนั้น ต้นทุนแรกของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก จึงเริ่มต้นจากการจัดทำแผนการจัดการแข่งขันเพื่อส่งประมูลเป็นเจ้าภาพกับ IOC ซึ่งถึงแม้จะไม่มีมูลค่ามากเท่ากับการเตรียมตัวจัดงานจริง ก็สร้างค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าภาพเป็นจำนวนมาก เพราะนอกจากเงินประมูลแล้ว การทำรายงานประเมินความพร้อมเพื่อเสนอ IOC ต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ และจ้างที่ปรึกษาด้านต่างๆ เพื่อทำการประเมิน

จากสถิติที่ผ่านมา การจัดทำรายงานและแผนการจัดงานโอลิมปิกจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึงประมาณ 50-100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,800 - 3,600 ล้านบาท แต่ในบางครั้งอาจสูงมากกว่านั้น และที่สำคัญ คือ หากยื่นประมูลแล้วไม่ได้เป็นเจ้าภาพ ประเทศที่ยื่นประมูลก็จะเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปเปล่าๆ ด้วย

โดยตัวอย่างประเทศที่ต้องเสียเงินจำนวนมากไปกับขั้นตอนนี้ ก็คือ ‘ญี่ปุ่น’ ที่ลงทุนเงินถึง 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อขอเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2016 แต่ก็ไม่ได้รับคัดเลือก หรือ ‘แคนาดา’ ที่ตัดสินใจถอนตัวจากการประมูลเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2024 ไป เพราะมีเงินไม่พอแม้แต่จะดำเนินการประมูลสิทธิเป็นเจ้าภาพ ซึ่งในเวลานั้นต้องใช้เงินถึง 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เจ้าภาพโอลิมปิกมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

ทั้งนี้ เงินที่ต้องใช้ในการประมูลเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ก็เทียบไม่ได้เลยกับเงินที่เมืองเจ้าภาพต้องใช้เมื่อได้สิทธิเป็นเจ้าภาพแล้ว เพราะที่ผ่านมา IOC มักจะเลือกเจ้าภาพที่มีแผนการจัดงานที่ใหญ่ที่สุด และพร้อมลงทุนลงแรงมากที่สุด เพื่องานโอลิมปิกเสมอ

ดังนั้น ในระหว่างการจัดทำแผนการจัดงานโอลิมปิก ผู้ร่วมประมูลมักจะจัดทำแผนที่มีมูลค่าสูง และในบางครั้งก็สูงเกินตัวอยู่เสมอ ทำให้เมื่อได้รับสิทธิแล้ว เจ้าภาพก็ต้องพยายาม ‘walk the talk’ และลงเงินมหาศาล เพื่อสร้าง ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ต่างๆ ที่จำเป็นในการจัดงานโอลิมปิก ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมที่พักที่ต้องมีว่างอย่างน้อย 40,000 ห้องในเมือง ถนนหนทาง ทางรถไฟ และหมู่บ้านนักกีฬา

จากสถิติที่ผ่านมา เจ้าภาพจะต้องใช้เงินปรับปรุงหรือก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกประมาณ 5,000 ถึง 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.8 แสนล้านบาท ถึง 1.8 ล้านล้านบาท

โดยตัวอย่างเจ้าภาพโอลิมปิกที่ลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเป็นมูลค่ามากที่สุด คือ เมือง ‘โซชี’ ประเทศรัสเซีย ที่ลงทุนเงินถึง 4.43 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เกี่ยวกับกีฬาสำหรับโอลิมปิกฤดูหนาวปี 2014 รวมถึง เมือง ‘ปักกิ่ง’ ประเทศจีน ที่ลงทุนเงินถึง 2.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสร้างถนน สนามบิน รถไฟใต้ดิน และอื่นๆ เพื่องานโอลิมปิก

oly_sochi_opening_ceremony_08

ยิ่งไปกว่านั้น อีกหนึ่งไฮไลท์และต้นทุนสำคัญของงานโอลิมปิก ก็คือ การสร้าง ‘สเตเดียม’ เพื่อใช้ทั้งในพิธีเปิด และการแข่งขัน ซึ่งเมื่อดูจากขนาดและดีไซน์ที่ต้องแปลกใหม่แล้ว แน่นอนว่าต้องใช้เงินงบประมาณเป็นจำนวนมากในการออกแบบและก่อสร้าง 

โดยหากให้ยกตัวอย่างสเตเดียมที่มีมูลค่าสูงที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น ‘สเตเดียมรูปรังนก’ ของจีนที่มีมูลค่าสูงถึง 423 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ‘โอลิมปิกสเตเดียม’ ของอังกฤษ ที่มูลค่าสูงถึง 767 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นสเตเดียมโอลิมปิกที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

ทั้งนี้ นอกจากการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเตรียมเมืองและสถานที่การแข่งขันให้พร้อมรับทัพนักกีฬาและนักท่องเที่ยวแล้ว เจ้าภาพยังต้องจ่าย ‘ค่าดำเนินงาน’ ทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย และการจัดการงานให้ราบรื่น ซึ่งแม้ในเวลาปกติจะเป็นสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับต้นทุนในด้านอื่น ในบางสถานการณ์ก็เป็นต้นทุนมหาศาล

เช่น การแข่งขันโอลิมปิกปี 2004 ที่เจ้าภาพคือ กรุง ‘เอเธน’ ประเทศกรีซ ต้องจ่ายค่ารักษาความปลอดภัยถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพราะคนกังวลเรื่องความปลอดภัยกันมากขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกแฝดในนิวยอร์ก หรือ 9/11 ขณะที่เจ้าภาพการแข่งขันก่อนหน้าคือ เมืองซิดนีย์ ต้องจ่ายเพียง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

และ เมือง ‘โตเกียว’ ประเทศญี่ปุ่น เจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกปี 2022 ที่ต้องจ่ายเงินถึง 2.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อรักษาความปลอดภัย และสุขอนามัย ให้แก่นักกีฬาและผู้เข้าร่วม เพราะขณะนั้นยังมีการระบาดของโควิด-19

การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกคุ้มจริงหรือไม่? 

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกนั้นมีค่าใช้จ่ายมากมาย และทำให้เจ้าภาพส่วนมากของโอลิมปิกต้องใช้เงินระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปในการจัดงานโอลิมปิก โดยเฉพาะประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวย หรือมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการจัดงานโอลิมปิกพร้อมใช้อยู่แล้ว

โดยตัวอย่างประเทศที่ใช้เงินไปกับโอลิมปิกมากที่สุดก็คือ ‘จีน’ ที่ลงทุนไปทั้งหมดถึง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจัดงานโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2008 และ ‘อังกฤษ’ ที่ใช้เงินถึง 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการจัดงานโอลิมปิกปี 2012 โดย 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นั้นเป็นเงินภาษีจากประชาชน

ถึงแม้ตัวต้นทุนจะมากมายมหาศาลขนาดนี้ ประชาชนและรัฐบาลหลายๆ ประเทศก็ยังต้องการให้ประเทศตัวเองได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอยู่ เพราะมองถึงผลประโยชน์และรายได้ที่ได้จากการจัดงานนั้น ทั้งรายได้จากการถ่ายทอดการแข่งขัน การสร้างงาน การกระตุ้นการท่องเที่ยวและใช้จ่ายในประเทศ และการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จะให้ประโยชน์กับเศรษฐกิจของเมืองในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม เป็นตรงนี้เองที่ข้อเท็จจริงขัดกับความคิดคนส่วนมาก เพราะตั้งแต่มีการจัดการแข่งขันโอลิมปิกสมัยใหม่มา มีเจ้าภาพเดียวเท่านั้นที่ได้กำไรจากการจัดงานโอลิมปิก นั้นก็คือ เมือง ‘ลอสแอนเจลิส’ สหรัฐฯ เจ้าภาพงานโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1984 

โดยการจัดงานแข่งขันโอลิมปิกที่ลอสแองเจลิสนั้น สามารถสร้างผลกำไรได้ทั้งหมด 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายได้จากการถ่ายทอดสด และต้นทุนในการจัดงานที่ต่ำกว่าเมืองอื่น เพราะ ลอสแอนเจลิสไม่ต้องลงทุนเงินมากกับการสร้างสเตเดียมหรือโครงสร้างพื้นฐาน เพราะมีค่อนข้างพร้อมอยู่แล้ว 

นอกจากนี้ ลอสแองเจลิสยังเป็นเมืองเดียวที่ยื่นประมูลเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกในปีนั้น ทำให้สามารถต่อรองราคาประมูลกับ IOC ได้ พราะเจ้าภาพอื่นที่จัดก่อนหน้านั้นขาดทุนมาตลอด จนหลายๆ ประเทศเริ่มไม่อยากเสี่ยง โดยหนึ่งในเจ้าภาพโอลิมปิกที่ขาดทุนมโหฬารที่สุด ก็คือ 

  1. เมือง ‘มอนทรีออล’ ประเทศแคนาดา เจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1976 ที่ลงเงินไปถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมากเพื่อสร้างสเตเดียม แต่เมื่อจบงานแล้วทำให้เมืองเป็นหนี้ถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้เวลาถึง 30 ปีกว่าจะจ่ายหมด
  2. เมือง ‘เอเธน’ ประเทศกรีซ เจ้าภาพโอลิมปิกปี 2004 ที่ลงเงินไปถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดการแข่งขัน แต่ก็ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 9/11 จนงานซบเซา ต้นทุนเพิ่ม จนขาดทุนและเป็นหนี้หนักจนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ
  3. เมือง ‘ปักกิ่ง’ ประเทศจีน เจ้าภาพโอลิมปิกปี 2008 ที่ลงเงินไปกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ได้รายได้กลับมาเพียง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการจัดงานแล้ว ประเทศต่างๆ ยังต้องรับภาระระยะยาวในการบำรุงรักษาสเตเดียมที่สร้างไว้ด้วย โดยสเตเดียมรังนกของจีนนั้นต้องใช้เงินถึง 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในการบำรุงรักษา 

ขณะที่สเตเดียมในหลายๆ เมืองกลายเป็นสนามทิ้งร้าง เช่น สนามแข่งขันในเมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ที่ในปี 2024 รัฐบาลต้องใช้เงินถึง 870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อซ่อมแซมหลังคา จนมีนักวิจารณ์ออกมาเรียกร้องให้ทุบสนามทิ้งเสียเพื่อลดภาระ

beijing_national_stadium

โอลิมปิก ต้องมีการบริหารให้มีความคุ้มค่า และยั่งยืนมากขึ้น

จากที่เล่ามา จะเห็นได้ว่าการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกอาจไม่คุ้มค่าอย่างที่หลายๆ คนคิด เพราะแม้จะเป็นงานที่เร่งให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สร้างงานให้กับคนในพื้นที่ และโฆษณาเมืองให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก จากสถิติโอลิมปิกก็เป็นงานที่ต้องใช้เงินมาก อีกทั้งยังเป็นภาระระยะยาวสำหรับเมืองหากเมืองนั้นไม่ได้มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการจัดงานอยู่แล้ว ทำให้ในอนาคตเจ้าภาพต้องคิดถึงความคุ้มค่าเป็นประโยชน์ที่เมืองจะได้เป็นสำคัญ

ดังนั้น ในปัจจุบัน จึงมีการเรียกร้องให้ IOC ปรับเกณฑ์เลือกเจ้าภาพใหม่ โดยเน้นที่ความพอประมาณและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมให้มากขึ้น เช่น การเลือกเมืองที่มีมีแผนชัดเจนในการจัดการโครงสร้างพื้นฐานให้มีประโยชน์แก่เมืองในระยะยาวหลังจากงานแข่งขันโอลิมปิกผ่านไปแล้ว แทนที่จะเลือกเจ้าภาพที่เสนอแผนจัดงานยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เป็นการใช้เงินงบประมาณเกินตัวจนทำประชาชนเดือดร้อน 

โดยอย่าง เมือง ‘ปารีส’ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อนในปีนี้ เองก็เน้นการใช้โครงสร้างพื้นฐานและสเตเดียมที่มีอยู่แล้วแทนการสร้างใหม่ถึง 95% รวมถึงเกลี่ยการจัดการแข่งขันไปเมืองอื่น เช่น ลียง มาร์กเซย์ และนีซ ไม่ได้จัดแค่เพียงในปารีส เพื่อกระจายรายได้ และลดความแออัดในเมืองปารีสลง

 

 

อ้างอิง: CFR, Investopedia, Athlonsports

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT