กรุงเทพมหานคร (กทม.) เผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ในการบริหารจัดการหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ซึ่งมีมูลค่ารวมเกือบ 40,000 ล้านบาท ภายหลังศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาให้ กทม.และ KT ร่วมกันชำระหนี้ ค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง จำนวน 11,755 ล้านบาท ซึ่งเป็นการฟ้องครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นค่าจ้างของเดือนพฤษภาคม 2562-พฤษภาคม 2564 ด้านนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ออกมาชี้แจงสถานการณ์และยืนยันความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างโปร่งใสและยั่งยืน
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครประกาศยืนยันการยอมรับคำวินิจฉัยของศาล พร้อมทั้งสั่งการให้เร่งจัดการประชุมร่วมระหว่างบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) และกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาแนวทางการปฏิบัติตามคำวินิจฉัยดังกล่าว โดยเฉพาะในประเด็นการชำระหนี้สินรถไฟฟ้า BTS ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียง ผู้ว่าฯ กทม. เผยว่า จะมีการวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลอย่างละเอียด เพื่อให้เกิดความเข้าใจในทุกประเด็นที่ศาลได้ชี้ขาด และเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามกรอบของกฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ออกมาชี้แจงสถานการณ์หนี้สินที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ซึ่งเกิดจากการหยุดชำระหนี้ในปี 2564 เนื่องจากการรวมหนี้เพื่อต่อสัญญาตามมาตรา 44 ไม่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ส่งผลให้กรุงเทพมหานครต้องรอคำสั่งและถูกบีทีเอสฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลมีคำวินิจฉัยให้กรุงเทพมหานครชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินรถส่วนต่อขยายทั้งสองรวม 8,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากค่าโดยสารมีเพียง 2,000 ล้านบาท ทำให้ส่วนต่าง 6,000 ล้านบาทต้องถูกนำมาจากงบประมาณของกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้รับจัดสรรปีละ 90,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับมูลหนี้ที่มีอยู่เดิมเกือบ 40,000 ล้านบาท จึงกลายเป็นภาระทางการคลังของกรุงเทพมหานคร
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยืนยันว่า จะดำเนินการตามคำสั่งศาลให้แล้วเสร็จภายในกรอบเวลา 180 วัน และจะบริหารจัดการงบประมาณอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นที่จะแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สินในระยะยาว รวมถึงการต่อสัญญา พ.ร.บ. ร่วมทุนที่จะสิ้นสุดลงในปี 2572 โดยคำนึงถึงข้อมูลที่เป็นปัจจุบันและคำสั่งศาลอย่างรอบคอบ
จากสถานการณ์หนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานครยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ความท้าทายในการบริหารจัดการงบประมาณและการแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวเป็นสิ่งที่ผู้ว่าฯ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อให้การให้บริการรถไฟฟ้าสาธารณะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนและการพัฒนาเมืองในอนาคต
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาให้ กทม.และ KT ร่วมกันชำระหนี้ ค่าจ้างงานเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง จำนวน 11,755 ล้านบาท ซึ่งเป็นการฟ้องครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นค่าจ้างของเดือนพฤษภาคม 2562-พฤษภาคม 2564
โดยบีทีเอสต้องได้รับค่าจ้างเดินรถ และซ่อมบำรุง (O&M) โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงสะพานตากสิน - วงเวียนใหญ่ - บางหว้า และช่วงอ่อนนุช – แบริ่ง (เดือนพฤษภาคม 2562 ถึงพฤษภาคม 2564) และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ – คูคต (เดือนเมษายน 2560 ถึง พฤษภาคม 2564) จำนวนกว่า 11,755 ล้านบาท