ข่าวเศรษฐกิจ

ผู้ว่าธปท.ชี้ดอกเบี้ยไทย ไม่จำเป็นต้องลดตามเฟดคำนึงปัจจัยในปท.เป็นหลัก

20 ก.ย. 67
ผู้ว่าธปท.ชี้ดอกเบี้ยไทย ไม่จำเป็นต้องลดตามเฟดคำนึงปัจจัยในปท.เป็นหลัก
ไฮไลท์ Highlight

"ดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือ เรามีนโยบายผสมผสานหลายอย่าง การลดภาระหนี้โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับโครงสร้างหนี้อาจได้ผลดีกว่าการลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นยาที่กระทบวงกว้าง การใช้ยาเฉพาะจุดจะเหมาะสมกว่า" 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยืนยันจุดยืนนโยบายการเงินที่มุ่งเน้นเสถียรภาพและการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยไม่ลดดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แม้ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลงก็ตาม

ผู้ว่าการ ธปท. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ เผยว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของไทยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก และยังคงใช้กรอบการตัดสินใจแบบ "Outlook Dependent" ที่ให้ความสำคัญกับแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าข้อมูลระยะสั้น นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ ธปท. ยังกล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และยืนยันว่า ธปท. กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกถึงเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจของ ธปท. รวมถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท และความสำคัญของความเป็นอิสระของธนาคารกลางในการดำเนินนโยบายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว

ผู้ว่าฯ ธปท. ยันไม่ลดดอกเบี้ยตามเฟด ชี้ 3 ปัจจัยชี้ขาด  Outlook ยังไม่เปลี่ยน

ผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยตามเฟด แต่ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ชี้แนวโน้มเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยน นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ย 0.50% ว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดไม่ได้หมายความว่าไทยต้องลดตาม แม้จะมีผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้านที่ต้องนำมาพิจารณาในการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยก็ตาม โดยท่านผู้ว่าฯ ย้ำว่า การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก

โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยว่าเป็นไปตามศักยภาพหรือไม่
  2. อัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบเป้าหมายหรือไม่
  3. เสถียรภาพระบบการเงิน

"การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ จำเป็นต้องคำนึงถึงภาพรวมด้วย ซึ่งรวมถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั่วโลก เนื่องจากมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ท่านผู้ว่าฯ ระบุว่า การตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายดอกเบี้ยของไทยในปัจจุบัน ยังไม่เห็นสัญญาณที่ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจต่างไปจากที่ ธปท. เคยประเมินไว้ จึงยังคงใช้กรอบการตัดสินใจแบบ "Outlook Dependent" ซึ่งเชื่อว่าเหมาะสมที่สุด "ต่างจากที่อื่นที่เน้น 'data dependent' ซึ่งสร้างความผันผวนให้ตลาดได้ง่าย เราไม่อยากให้การคาดการณ์นโยบายเพิ่มความผันผวน จึงเน้น 'outlook dependent' แต่ก็พร้อมปรับเปลี่ยนหากแนวโน้มเปลี่ยน" ผู้ว่าธปท.กล่าว

โดยยังเน้นย้ำว่า การลดดอกเบี้ยอาจไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มที่ และผลต่อการลดภาระหนี้อาจมีไม่มาก โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับโครงสร้างหนี้อาจเป็นมาตรการที่เหมาะสมกว่า

"ดอกเบี้ยเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือ เรามีนโยบายผสมผสานหลายอย่าง การลดภาระหนี้โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับโครงสร้างหนี้อาจได้ผลดีกว่าการลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นยาที่กระทบวงกว้าง การใช้ยาเฉพาะจุดจะเหมาะสมกว่า" 

ผู้ว่าฯ ธปท. ชี้บาทแข็งค่าเร็ว ผันผวนหนัก แต่ยังไม่พบ Hot Money

ผู้ว่าธปท. กล่าวว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ โดยแข็งค่าไปแล้ว 3.1% และมีความผันผวนมากกว่าบางประเทศ แม้จะยังไม่ผันผวนที่สุดในภูมิภาคก็ตาม

โดยมองว่า การแข็งค่าของเงินบาทส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเฉพาะของประเทศไทย คือ ความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำที่สูงกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค และความชัดเจนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ธปท. กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของเงินทุนที่รวดเร็วและไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐาน หรือที่เรียกว่า Hot Money ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินผันผวนโดยไม่สะท้อนเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่ในขณะนี้ยังไม่พบสัญญาณของ Hot Money

"ภาพรวมเงินทุนในปีนี้ไหลออกน้อยกว่าปีก่อน โดยปีก่อนไหลออก 9.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปีนี้ประมาณ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ช่วงหลังมีเงินทุนไหลเข้าจากปัจจัยโลกและปัจจัยเฉพาะของไทย เช่น ความชัดเจนทางการเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับทองคำ ธปท. ยังคงติดตามสถานการณ์ความผันผวนของค่าเงินอย่างใกล้ชิด" ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว

ผู้ว่าฯ ธปท. เน้นย้ำบทบาทธนาคารกลาง ต้องเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ และสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ

โดยปัจจุบันสังคมกำลังเผชิญปัญหามากมาย ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ ตัวอย่างเช่น หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 90% ของ GDP ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทย 38% มีหนี้เฉลี่ยคนละ 540,000 บาท ขณะที่คนไทยมีเงินออมเพียงพอแค่ 22% และมีเงินออมเพื่อการเกษียณเพียง 16%

ในระดับประเทศ ปัญหาการลงทุนที่ต่ำต่อเนื่องยาวนาน ทำให้การลงทุนโดยรวมโตเฉลี่ยเพียง 2% ต่อปีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และมีบริษัทในภาคอุตสาหกรรมลงทุนด้าน R&D เพียงไม่ถึง 3% นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ทั่วโลก โดยความเสียหายทางเศรษฐกิจจากภัยธรรมชาติเพิ่มขึ้นกว่า 8 เท่าในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้มีจุดร่วมคือเกิดจากการตัดสินใจโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะสั้นเป็นหลัก ไม่ได้ให้ความสำคัญกับต้นทุนในอนาคตมากพอ จึงเป็นเหมือน "ปัญหาหนี้" ที่คนรุ่นหลังต้องชดใช้ สำหรับในประเทศไทย มีตัวอย่างนโยบายที่เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากเกินไป เช่น นโยบายพักหนี้เกษตรกรในอดีตที่ทำอย่างต่อเนื่องและไม่มีเงื่อนไข ทำให้ลูกหนี้กว่า 60% มีโอกาสเป็นหนี้เรื้อรัง และกว่า 45% มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้น

ในทางกลับกัน นโยบายที่เป็นประโยชน์ในระยะยาว เช่น การเพิ่มรายได้ภาษี หรือเพิ่มงบประมาณด้านการศึกษากลับเป็นไปได้ยาก ซึ่งทำให้ประเทศเสียโอกาสพัฒนาศักยภาพและเสถียรภาพในระยะยาว ผู้ว่าฯ ธปท. สรุปว่า บทบาทของธนาคารกลางต้องเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายที่สร้างสมดุลระหว่างการแก้ปัญหาปัจจุบันและการสร้างเสถียรภาพในระยะยาวได้อย่างเหมาะสม

นโยบายการเงินเพื่อเสถียรภาพและการเติบโตอย่างยั่งยืน

โดยธปท.เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและการสร้างเสถียรภาพในระยะยาว การดำเนินนโยบายการเงินต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้งในปัจจุบันและอนาคต แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ก็อาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อและความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้

ธนาคารกลางทั่วโลกมีพันธกิจร่วมกันในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งต้องอาศัยเสถียรภาพด้านราคาและระบบการเงินที่มั่นคง การตัดสินใจเชิงนโยบายของธนาคารกลางจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวเป็นสำคัญ แม้ว่าบางครั้งอาจจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่สวนทางกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ

ความเป็นอิสระของธนาคารกลางมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุพันธกิจดังกล่าว งานวิจัยของ IMF ในปี 2023 ชี้ให้เห็นว่าธนาคารกลางที่มีความเป็นอิสระและน่าเชื่อถือมีศักยภาพในการควบคุมเงินเฟ้อได้ดีกว่า

ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการหลากหลายเพื่อสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว อาทิ การกำหนดนโยบายการเงินที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพ การส่งเสริมการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ การส่งเสริมวินัยทางการเงิน และการพัฒนาระบบการเงินที่ตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในบริบทเศรษฐกิจโลกยุคใหม่

ธปท. ยึดมั่นเสถียรภาพ ไม่ลดดอกเบี้ยตามเฟด, จับตาบาทแข็งค่า

ดังนั้น การให้ความสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงินที่มองการณ์ไกลและคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ แม้ในภาวะที่ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกกำลังปรับลดอัตราดอกเบี้ย การตัดสินใจของ ธปท. ที่จะไม่ลดดอกเบี้ยตามเฟด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาปัจจัยภายในประเทศ และการให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

นอกจากนี้ การที่ ธปท. ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธนาคารกลางสามารถดำเนินนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าบางครั้งอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันหรือความไม่เห็นด้วยจากบางภาคส่วนก็ตาม

สุดท้ายนี้ ธปท.ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้ทุกภาคส่วนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของการตัดสินใจที่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของคนรุ่นปัจจุบัน แต่ยังเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT