ข่าวเศรษฐกิจ

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

24 ก.ย. 67
กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามคาดการณ์ ตอกย้ำสัญญาณเงินเฟ้อที่เข้าใกล้เป้าหมาย และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีสัญญาณถดถอย SCB CIO มองว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ เป็นหลัก พร้อมกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นไทยและเวียดนามในพอร์ตเสริม บทความนี้ SPOTLIGHT จะเจาะลึกการวิเคราะห์ของ SCB CIO และกลยุทธ์การลงทุนที่น่าสนใจในช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

SCB CIO คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% เหลือ 4.75%-5.00% ต่อปี และอาจลดลงอีก 0.5% ในปีนี้ และ 1% ในปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงเข้าใกล้เป้าหมาย 2% แม้ว่าการจ้างงานจะอ่อนแอลง แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมยังไม่มีสัญญาณถดถอย

โดยการลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ต้นทุนการเงินลดลง ส่งผลดีต่อผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน SCB CIO แนะนำให้ลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่ม Quality Growth เช่น IT และกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค สุขภาพ และสินค้าจำเป็น

สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุน ควรเน้นกระจายความเสี่ยง โดยพอร์ตหลักแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกู้เอกชนต่างประเทศคุณภาพสูง (IG) และหุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนพอร์ตเสริม แนะนำให้แบ่งเงินลงทุน 15-25% ลงในตลาดหุ้นเวียดนามและไทย เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และเศรษฐกิจไทยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

เฟดลดดอกเบี้ยตามคาด สัญญาณเงินเฟ้อเข้าเป้าหมาย แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่ถดถอย

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% สู่ระดับ 4.75%-5.00% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ และสะท้อนความมั่นใจของเฟดว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืน  

เฟดมองว่าความเสี่ยงในการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อและการจ้างงานมีความสมดุลกัน และแสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการจ้างงาน ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอีก 0.5% ภายในสิ้นปีนี้ และปรับลดอีก 1% และ 0.5% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ

นอกจากนี้ เฟดยังปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2567 ลงเล็กน้อยเหลือ 2.0% ต่อปี และปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการว่างงานในช่วงสิ้นปี 2567 เป็น 4.4% ขณะที่ปรับลดคาดการณ์เงินเฟ้อ PCE ในช่วงสิ้นปี 2567 ลงเหลือ 2.3% โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้ง PCE และ Core PCE จะเข้าสู่ระดับ 2.0% ในปี 2569

นายศรชัย มองว่า แม้ตลาดแรงงานจะอ่อนแอลง แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้ และยังไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้จะมีสัญญาณการชะลอตัวแบบ Soft landing ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์

นอกจากนี้ เฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed fund ลงรวม 0.5% ในการประชุมช่วงที่เหลือของปีนี้อยู่ที่ 4.25%-4.50% และปรับลดรวมอีก 1% ในปี 2568 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย Fed funds สิ้นปี 2568 อยู่ที่ 3.25%-3.50%

เฟดลดดอกเบี้ยหนุนตลาดหุ้นและตราสารหนี้สหรัฐฯ คาด Bond Yield ลดลงไม่มาก

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

การลดดอกเบี้ยของเฟดในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ข้อมูลตั้งแต่ปี 2517 ชี้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ตลาดหุ้นและตราสารหนี้มักให้ผลตอบแทนที่ดี ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วง 12 เดือนหลังการลดดอกเบี้ย นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำและน้ำมันก็มักจะปรับตัวสูงขึ้น

สำหรับตราสารหนี้ เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ มักจะชันขึ้นเมื่อใกล้ช่วงที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังเติบโตได้ดีและไม่เกิดภาวะถดถอย ความชันของ Yield Curve อาจเพิ่มขึ้นไม่มากนัก

การที่ Yield Curve ชันขึ้นในรอบนี้สะท้อนถึงความกังวลต่อเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะถดถอยในปี 2567 ยังคงต่ำ ทำให้คาดว่า Bond Yield สหรัฐฯ จะลดลงไม่มาก และผลตอบแทนของตราสารหนี้สหรัฐฯ น่าจะมาจาก Carry Yield เป็นหลัก ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ต้องการพอร์ตที่มีความผันผวนต่ำในการสร้างกระแสเงินสด

เน้นกระจายความเสี่ยง รับมือความผันผวน

นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและสนับสนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน จากสถิติในอดีตพบว่าหลังจากเฟดลดดอกเบี้ย 12 เดือน ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ถดถอย หุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ เช่น S&P 500 มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นขนาดเล็ก เช่น Russell 2000

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Quality Growth เช่น IT และกลุ่ม Defensive เช่น สาธารณูปโภค, สุขภาพ, และสินค้าจำเป็น ยังคงน่าสนใจลงทุน เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากคาดว่ากำไรของตลาดเกิดใหม่จะชะลอตัวในปี 2568

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน SCB CIO ยังคงเน้น 3 วัตถุประสงค์หลัก เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีแม้ในช่วงตลาดผันผวน โดยให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากสถิติในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า เดือนกันยายนมีผลตอบแทนแย่ที่สุดในทุกสินทรัพย์ และเดือนตุลาคมมีความผันผวนสูงที่สุด

โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ข้อมูลตั้งแต่ปี 2527 นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง เช่น การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามยูเครน-รัสเซีย และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ดังนั้น การกระจายการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต

กลยุทธ์การลงทุน การกระจายความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์เพื่อบรรลุผลตอบแทนที่เหมาะสมและบริหารความผันผวน

กลยุทธ์การลงทุน ในวันที่เฟดลดดอกเบี้ย 0.5% หนุนหุ้นสหรัฐฯ-ไทย-เวียดนาม

พอร์ตลงทุนหลัก (Core Portfolio) สำหรับการลงทุนระยะยาว (1 ปีขึ้นไป) ควรมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ

  1. การสร้างกระแสเงินสด: แนะนำให้พิจารณาลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง เช่น หุ้นกู้เอกชนต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือ Investment Grade (IG), หุ้นกู้ Perpetual ที่ออกโดยผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตสูง, และตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ซึ่งอาจให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าหุ้นกู้เอกชนในตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะเพื่อช่วยลดความเสี่ยง เช่น สิทธิในการเรียกร้องชำระหนี้เป็นลำดับแรก หรือมีหลักประกัน เป็นต้น
  2. การสร้างการเติบโต: เน้นการลงทุนในตลาดหุ้นพัฒนาแล้วมากกว่าตลาดเกิดใหม่ โดยยังคงให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งแม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ผลประกอบการของบริษัทยังคงเติบโต และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงสนับสนุนการเติบโตของตลาดในระยะยาว
  3. การบริหารความเสี่ยง: ลงทุนในทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุน

พอร์ตเสริม (Opportunistic Portfolio) สำหรับนักลงทุนที่มีระดับความสามารถในการรับความเสี่ยงปานกลางถึงสูง อาจพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนบางส่วน (ประมาณ 15-25%) ไปยังตลาดหุ้นเวียดนามและไทย

ตลาดหุ้นเวียดนาม: มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจจากปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่

  • แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีดัชนี PMI เดือนสิงหาคมขยายตัวที่ 53.4 และการส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัว 14.5% YoY
  • กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ปี 2567 ขยายตัว 14% YoY และคาดว่าจะยังคงเติบโตได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2567
  • อัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 3.5% YoY ซึ่งลดลงจากเดือนกรกฎาคม และต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวที่ 4.5% ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางเวียดนามลดลง
  • Valuation ที่น่าสนใจ โดย 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 10.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -1 s.d.

ตลาดหุ้นไทย : ประมาณการเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 และต่อเนื่องไปถึงปี 2568 จากปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ได้แก่

  • โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ
  • การเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น
  • การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
  • แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
  • แนวโน้มการปรับประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในทิศทางที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
  • Valuation ของดัชนี SET Index ที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดย 12M Blended Forward P/E อยู่ที่ 14.4 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อยู่ประมาณ -1.0 s.d.
  • แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งจากกองทุนรวมวายุภักษ์ และกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ ESG จากการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน
  • แนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศจากมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทย อันเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในระยะสั้นเนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่มากกว่าการปรับลดของกนง.

ภาพรวมผลตอบแทนสินทรัพย์ทั่วโลก (YTD 2567)

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ ณ วันที่ 18 กันยายน 2567 โดยอยู่ที่ 24.5% ซึ่งได้รับแรงหนุนจาก Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง และความต้องการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นของธนาคารกลางทั่วโลก รองลงมาคือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 19.3% จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีในช่วงครึ่งปีแรก จากคาดว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย และผลประกอบการที่ดีของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

Global REITs ให้ผลตอบแทน 13.8% จาก Bond Yield ที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อผลตอบแทนของ REITs ตามมาด้วย DM Equity ex US ที่ 10.7%, EM Equity ที่ 9.1%, HY Bond ที่ 8.8%, TIPS ที่ 5.2%, IG Bond ที่ 5.1%, Gov Bond ที่ 2.8% และ Oil ที่ -1.4%

สำหรับผลตอบแทนการลงทุนในแต่ละประเทศ US large ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 19.3% ตามมาด้วย India ที่ 18.2%, Vietnam ที่ 12.2%, ยุโรปที่ 11.8%, China offshore ที่ 11.3%, US Small ที่ 9.9%, Japan ที่ 9.2%, Indonesia ที่ 7.8%, ไทยที่ 4.7% และ Korea ที่ -3%

มองไปข้างหน้าด้วยความระมัดระวังและปรับกลยุทธ์เพื่อโอกาสในการลงทุน

แม้ว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งสัญญาณเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ทั่วโลก แต่ก็ยังคงมีความไม่แน่นอนและความผันผวนในอนาคต ทั้งจากปัจจัยทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดทุนได้

ดังนั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายความเสี่ยงและการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การจัดพอร์ตลงทุนหลักที่เน้นสร้างกระแสเงินสดและการเติบโตควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยงด้วยทองคำ จะเป็นรากฐานที่มั่นคงสำหรับนักลงทุน

ในขณะเดียวกัน นักลงทุนที่มีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น อาจพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนบางส่วนไปยังตลาดหุ้นเวียดนามและไทยเพื่อแสวงหาโอกาสในการเติบโตเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การติดตามข่าวสารและสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด รวมถึงการปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป จะเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างผลตอบแทนที่ดีและบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT