ข่าวเศรษฐกิจ

บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

3 ต.ค. 67
บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ภาคเอกชนร้อนระอุ!  ค่าเงินบาทแข็งค่าพุ่งไม่หยุด  ทำผู้ส่งออกไทยหายใจรวยริน  กกร. ออกโรงส่งสัญญาณเตือน  เตรียมหารือ ธปท. หวังพยุงเศรษฐกิจ  ทั้งลดดอกเบี้ย  ทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อ  พร้อมเสนอ 6 แนวทางปฏิรูปพลังงาน  รับมือความท้าทายรอบด้าน

บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยเตรียมเข้าพบผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหารือแนวทางการดูแลค่าเงินบาท  พร้อมเสนอให้พิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  โดย กกร. ประเมินว่าภาวะเงินบาทแข็งค่าอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะกลุ่ม Real Sector  เป็นมูลค่าสูงถึง 1.8 - 2.5 แสนล้านบาท

บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร.  กล่าวถึงภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันว่า มีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน  โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของประเทศเศรษฐกิจหลัก  เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น  ต่างปรับตัวลดลง  ส่งผลให้หลายประเทศดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  เช่น  สหรัฐอเมริกาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.5% และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกในอนาคต  ขณะที่จีนได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระลอกใหม่ เพื่อพยุงภาคการผลิตและการบริโภคภาคเอกชน

ประเด็นที่ กกร. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง  โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิง  ณ  ปัจจุบัน  อยู่ที่ 32.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ  แข็งค่าขึ้นจากระดับ 36.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ  เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา  คิดเป็นอัตราการแข็งค่าประมาณ 12%  ซึ่งสูงกว่าค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค  และอาจส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ส่งออกไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีอาจทำให้รายได้ในรูปเงินบาทของผู้ส่งออกกระทบได้ราว 1.8-2.5 แสนล้านบาท

กกร. ห่วงบาทแข็ง กระทบธุรกิจ วอน ธปท. ลดดอกเบี้ย - ทบทวนเป้าหมายเงินเฟ้อ

แม้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว  แต่ กกร. ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยปัจจุบันค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าระดับ 34.00 - 34.50 บาท/ดอลลาร์  ซึ่งเป็นระดับที่เอื้อต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย  กกร. เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าหรือผันผวนเร็วจนเกินไป  รวมทั้งสื่อสารเชิงรุกเพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถรับรู้และปรับตัวได้ทันท่วงที  พร้อมกันนี้  ควรเร่งส่งผ่านประโยชน์จากค่าเงินบาทแข็งค่า  เช่น  ต้นทุนนำเข้าสินค้าพลังงานและวัตถุดิบที่ลดลง  ไปยังภาคการผลิตและประชาชนอย่างเป็นระบบ  โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม

กกร. เสนอให้ ธปท. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  ตามที่สะท้อนอยู่ในตลาดการเงินล่วงหน้า (Forward Market)  ซึ่งปัจจุบันคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอย่างน้อย 0.25% ภายในปีนี้  และอีกประมาณ 0.25% - 0.50% ภายในปีหน้า  ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจจริง (Real Sector) ได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้  กกร. ยังเสนอให้ทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อร่วมกับกระทรวงการคลัง  เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพและโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันและอนาคต

ในส่วนของสถานการณ์อุทกภัย  กกร.  ประเมินว่าจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม  และยังมีความเสี่ยงจากพายุลูกใหม่ที่อาจเข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67  คาดว่าน้ำท่วมในรอบนี้จะสร้างความเสียหายประมาณ 3-5 หมื่นล้านบาท  หรือประมาณ 0.2% ของ GDP

กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 แนะรัฐบาลเร่งพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำท่วม

กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 จะยังคงขยายตัวได้ในกรอบ 2.2% ถึง 2.7%  การส่งออกขยายตัว 1.5-2.5%  และอัตราเงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 0.5-1%  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ  การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณ  มาตรการเยียวยา  และมาตรการเสริมสภาพคล่องทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆ  ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา

นอกจากนี้  กกร.  ยังเสนอแนะให้ภาครัฐเร่งพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยน้ำท่วม  โดยบูรณาการข้อมูลระดับน้ำและพื้นที่เสี่ยงภัย  เพื่อแจ้งเตือนประชาชนและผู้ประกอบการแบบเรียลไทม์ผ่านโทรศัพท์มือถือ  รวมถึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่า  เพื่อเพิ่มพื้นที่ต้นน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

กกร. เสนอ 6 แนวทางปฏิรูปแผน PDP 2024 ชูพลังงานหมุนเวียน - เปิดเสรีไฟฟ้า

ที่ประชุม กกร. ได้พิจารณาข้อเสนอต่อแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567 – 2580 (PDP2024)  เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและสร้างเสถียรภาพด้านพลังงาน  โดยมี 6 ข้อเสนอหลัก  ดังนี้

1. เพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน: ปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศ (LT-LEDS) เพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทย

2. ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม: เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ควบคู่กับการพัฒนาระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน (BESS) และในช่วงเปลี่ยนผ่านควรลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงาน โดยเร่งพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-กัมพูชา (OCA)

3. ส่งเสริมพลังงานทางเลือกใหม่: ภาครัฐและภาคเอกชนร่วมมือกันพิจารณาจัดหาพลังงานทางเลือกใหม่ เช่น ไฮโดรเจน พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และเทคโนโลยีการใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน

4. เร่งเปิดเสรีไฟฟ้า: เร่งเปิดใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) ภายในปี พ.ศ. 2569 กำหนดแนวทางและกรอบเวลาการเปิดเสรีไฟฟ้าใน PDP 2024 ให้ชัดเจน พัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ส่งเสริมเทคโนโลยีระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) และพัฒนาระบบการจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้วอย่างครบวงจร

5. ประเมินความคุ้มค่าโรงไฟฟ้าใหม่: พิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และความจำเป็นในการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ โดยเปรียบเทียบกับทางเลือกในการปรับปรุงโรงไฟฟ้าเดิม (Repowering หรือ Overhaul) และกำหนดใช้เกณฑ์ดัชนีโอกาสการเกิดไฟฟ้าดับ (Loss of Load Expectation: LOLE) ควบคู่กับการเปิดเผยข้อมูลกำลังผลิตสำรองไฟฟ้า (Reserve Margin)

6. จัดตั้ง กรอ. พลังงาน: จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาพลังงาน (กรอ. พลังงาน) โดยให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนะนโยบาย แผนงาน และมาตรการด้านพลังงานของประเทศ ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธาน กกร. กล่าวเพิ่มเติมว่า  "สมุดปกขาววันนี้มีข้อสรุป  และจะปรับข้อเสนอให้มีการลงรายละเอียดเพิ่มเติม  ทั้งระยะเร่งด่วน  ระยะกลาง  และระยะยาว  โดยมี 4 ข้อ  ได้แก่ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ  การช่วยเหลือ SMEs  การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง  และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน  ซึ่งจะขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้"

สมาคมธนาคารไทย จ่อหารือ ธปท. หวังลดดอกเบี้ย รับมือบาทผันผวน

บาทแข็ง! กกร. เร่งหารือ ธปท.  ลดดอกเบี้ย  แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย  เปิดเผยว่า  สมาคมธนาคารไทยเตรียมทำหนังสือถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย  เพื่อหารือเกี่ยวกับทิศทางค่าเงินและอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  โดยเฉพาะสถานการณ์ค่าเงินบาทที่ผันผวนและแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา  ซึ่งสะท้อนจากการแทรกแซงค่าเงินของ ธปท.  ทำให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา

สมาคมธนาคารไทยมีความเห็นสอดคล้องกับ กกร.  ที่ต้องการให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เร่งพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  ตามที่ตลาดการเงินล่วงหน้าคาดการณ์ว่าจะลดลง 0.25% ภายในปีนี้  และลดลงอีก 0.25-0.5% ในปีหน้า  รวมทั้ง  ต้องการให้พิจารณาทบทวนกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อให้เหมาะสมกับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย  ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาเชิงโครงสร้างอยู่มาก  โดยกระทรวงการคลังจะมีการหารือกับ ธปท. ต่อไป

"การเข้าพบผู้ว่าการ ธปท.  เพื่อหารือเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  แต่จะลดเท่าไหร่หรือรอบไหน  เราไม่สามารถชี้นำหรือก้าวล่วงการทำหน้าที่ของ กนง. ได้  เพียงแต่อยากให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด  เพราะตอนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต  ภาคการส่งออก  ภาคบริการ  และภาคการท่องเที่ยว"  นายผยงกล่าว

นายผยง กล่าวเพิ่มเติมว่า  หาก กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ตามกลไกตลาด  แต่หาก กนง. ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ธนาคารพาณิชย์ก็มีนโยบายและมาตรการช่วยเหลือลูกค้าอยู่แล้ว  โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง  เช่น  มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้สิน

สรุป สถานการณ์ "บาทแข็ง"  กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย  การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน  เช่น  การหารือระหว่าง กกร.  และ ธปท.  เพื่อหาทางออกร่วมกัน  เป็นสัญญาณที่ดี อย่างไรก็ตาม  ความท้าทายยังรออยู่ข้างหน้า  ทั้งเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว  ภัยธรรมชาติ  และความผันผวนของตลาดเงิน  การปรับตัว  การวางแผนรับมือ  และการมีมาตรการที่เหมาะสม  จะเป็นกุญแจสำคัญในการพาเศรษฐกิจไทยฝ่าคลื่นลมไปได้ คงต้องจับตาดูกันต่อไปว่า  ทิศทางเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร  ภาครัฐและภาคเอกชนจะร่วมมือกันประคับประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT