ข่าวเศรษฐกิจ

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

22 ต.ค. 67
จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกมีความผันผวน และการแข่งขันในตลาดแรงงานทวีความรุนแรงขึ้น "ค่าแรงขั้นต่ำ" จึงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งในมิติของการสร้างหลักประกันรายได้ที่เป็นธรรมแก่แรงงาน และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ "อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในประเทศไทย ประจำปี 2567" พร้อมปัจจัยที่ส่งผลต่อการกำหนดค่าแรง เปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน และความท้าทายของตลาดแรงงานไทย รวมถึงบทบาทของภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาศักยภาพแรงงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

อ้างอิงตามประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 เป็นต้นไป พบว่าจังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย คือ จังหวัดภูเก็ต โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 370 บาทต่อวัน

ค่าจ้างขั้นต่ำ (บาท) พื้นที่
370 ภูเก็ต
363
กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
361 ชลบุรีและระยอง
352 นครราชสีมา
351 สมุทรสงคราม
350
อยุธยา ฉะเชิงเทรา สระบุรี ปราจีนบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่
349 ลพบุรี
348
สุพรรณบุรี หนองคาย และนครนายก
347 กระบี่และตราด
346
กาญจนบุรี จันทบุรี เชียงราย ตาก นครพนม บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา พิษณุโลก มุกดาหาร สกลนคร สงขลา สระแก้ว สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี
345
ชุมพร เพชรบุรี และสุรินทร์
344
นครสวรรค์ ยโสธร และลำพูน
343
กาฬสินธุ์ นครศรีธรรมราช ศรีสะเกษ เพชรบูรณ์ และร้อยเอ็ด
342
ชัยนาท ชัยภูมิ พัทลุง สิงห์บุรี และอ่างทอง
341
ตาก พิจิตร ระนอง มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน ระนอง ราชบุรี ลำปาง เลย สตูล สุโขทัย หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุตรดิตถ์ และอุทัยธานี
340
ตรัง น่าน พะเยา และแพร่
338
นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในจังหวัดภูเก็ตที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ นั้น สันนิษฐานได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจาก

  • ดัชนีค่าครองชีพที่สูง: ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับโลก มีค่าครองชีพที่สูงกว่าจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากต้นทุนสินค้าและบริการที่สูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ
  • อุปสงค์แรงงานในภาคธุรกิจ: ภูเก็ตมีภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีความต้องการแรงงานจำนวนมาก เพื่อรองรับการเติบโตของภาคธุรกิจ
  • การแข่งขันในตลาดแรงงาน: ธุรกิจต่างๆ ในภูเก็ตจำเป็นต้องเสนอค่าตอบแทนที่สามารถดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพและทักษะที่ตรงกับความต้องการ

สำหรับจังหวัดที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรองลงมา ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 363 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ มีค่าครองชีพและอุปสงค์แรงงานในภาคอุตสาหกรรมและบริการสูงเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดนั้น ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการค่าจ้าง โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ดัชนีค่าครองชีพ สภาวะเศรษฐกิจ อุปทานและอุปสงค์ของแรงงานในพื้นที่

ส่องค่าแรงขั้นต่ำปี 2567 ทั่วอาเซียน

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

ปี 2567 นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของตลาดแรงงานในภูมิภาคอาเซียน หลายประเทศประกาศปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อรองรับภาวะเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น บทความนี้จะนำเสนอการวิเคราะห์ข้อมูลอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เพื่อให้เห็นภาพรวมของสถานการณ์ค่าแรงในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา เปรียบเทียบ และวางแผนกำลังคน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค

ประเทศอินโดนีเซีย

  • แม้ภาพรวมอัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันของอินโดนีเซียจะอยู่ที่ประมาณ 159 บาท แต่ในเขตเมืองหลวงอย่างจาการ์ตา รัฐบาลได้ประกาศปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยเพิ่มขึ้น 3.38% คิดเป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนที่ 5,067,381 รูเปียห์ หรือประมาณ 11,960 บาท เฉลี่ย 398 บาทต่อวัน อย่างไรก็ตาม อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละพื้นที่ของอินโดนีเซียมีความแตกต่างกัน โดยเขตที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดคือจาการ์ตา ส่วนเขตที่มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่ำสุดคือชวากลาง เฉลี่ย 159 บาทต่อวัน

ประเทศมาเลเซีย

  • มาเลเซียเป็นอีกประเทศที่มีการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มขึ้น 25% ตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำต่อเดือนปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 ริงกิต หรือประมาณ 11,790 บาท เฉลี่ย 393 บาทต่อวัน การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของมาเลเซียสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการรักษาคุณภาพชีวิตของแรงงาน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน

ประเทศฟิลิปปินส์

  • ฟิลิปปินส์กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 186.97 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 6,880 บาท เฉลี่ย 229.34 บาทต่อวัน ทั้งนี้ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่แท้จริงจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและประเภทของงาน

ประเทศกัมพูชา

  • กัมพูชาได้ปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ คนงานทดลองงานจะได้รับค่าจ้าง 202 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 7,433.60 บาท เฉลี่ย 247.78 บาทต่อวัน ส่วนคนงานทั่วไปจะได้รับค่าจ้าง 204 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือประมาณ 7,507 บาท เฉลี่ย 250.24 บาทต่อวัน

ประเทศเวียดนาม

  • เวียดนามมีแผนปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 6% ในเดือนกรกฎาคม 2567 โดยแบ่งเป็น 4 เขตภูมิภาค เขตเมืองหลวงอย่างฮานอยจะได้รับค่าจ้างสูงสุด เฉลี่ย 250 บาทต่อวัน ส่วนเขตอื่นๆ จะมีอัตราค่าจ้างลดหลั่นกันไป การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของเวียดนามมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ประเทศลาว

  • สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวได้ปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นครั้งที่ 3 เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 โดยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ 1.6 ล้านกีบต่อเดือน หรือประมาณ 3,017 บาท เฉลี่ย 100.58 บาทต่อวัน การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้มีขึ้นเพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ และค่าเงินกีบที่อ่อนตัวลง

ประเทศเมียนมา

  • หลังจากเหตุการณ์รัฐประหาร เมียนมาได้ประกาศปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 อัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ อยู่ที่ 5,800 จ๊าดต่อวัน หรือประมาณ 101.56 บาท เพิ่มขึ้น 20% จากเดิม

ประเทศลาวสิงคโปร์และบรูไน

  • สิงคโปร์และบรูไนเป็นประเทศที่ไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แต่รายได้โดยรวมของประชากรอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งมีค่าครองชีพสูง พนักงานภาครัฐมีรายได้เริ่มต้นประมาณ 41,130 - 103,040 บาทต่อเดือน ส่วนพนักงานทำความสะอาดมีรายได้เริ่มต้นประมาณ 43,049 - 66,082 บาทต่อเดือน

ตารางจัดอันดับค่าแรงขั้นต่ำทั่วอาเซียน (ปี 2567)

อันดับ ประเทศ ค่าแรงขั้นต่ำ (บาท/วัน) หมายเหตุ
1 สิงคโปร์ ไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แต่รายได้โดยรวมของประชากรอยู่ในระดับสูง
รายได้ขั้นต่ำขึ้นอยู่กับสาขาอาชีพ
2 บรูไน ไม่มีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ แต่รายได้โดยรวมของประชากรอยู่ในระดับสูง
รายได้โดยรวมของประชากรอยู่ในระดับสูง
3 มาเลเซีย 393
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเดือนละ 1,500 ริงกิต
4 อินโดนีเซีย 398
เฉพาะเขตเมืองหลวงจาการ์ตา เขตอื่นๆ มีค่าแรงต่ำกว่า
5 ไทย 370
จังหวัดภูเก็ตมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุด
6 กัมพูชา 250.24
อัตราค่าจ้างสำหรับคนงานทั่วไป
7 เวียดนาม 250
อัตราค่าจ้างเฉลี่ย โดยเขต 1 (เมืองหลวง) ได้รับค่าจ้างสูงสุด
8 ฟิลิปปินส์ 229.34
อัตราค่าจ้างเฉลี่ย แต่ละภูมิภาคมีค่าแรงแตกต่างกัน
9 เมียนมา 101.56
อัตราค่าจ้าง 5,800 จ๊าด/วัน
10 ลาว 100.58
อัตราค่าจ้าง 1.6 ล้านกีบ/เดือน

จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละประเทศในอาเซียนมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และนโยบายของรัฐบาล การศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจในสถานการณ์แรงงานของภูมิภาค และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน

สถานภาพค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยในบริบทอาเซียน

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

จากการศึกษาข้อมูลที่ได้รับ ประกอบกับการรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมจากฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ พบว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยในปัจจุบันอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสมาชิกอาเซียน โดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังต่อไปนี้

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทย

ในปี พ.ศ. 2567 ประเทศไทยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ระหว่าง 330 - 370 บาทต่อวัน โดยจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญ มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดที่ 370 บาทต่อวัน สืบเนื่องจากค่าครองชีพที่สูง และอุปสงค์แรงงานในภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เมื่อพิจารณาในบริบทของภูมิภาคอาเซียน พบว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยสูงกว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม แต่ต่ำกว่าประเทศมาเลเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ และเนการาบรูไนดารุสซาลาม

ปัจจัยกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ

การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของแต่ละประเทศ เป็นผลจากการพิจารณาปัจจัยเชิงซ้อน มิใช่เพียงปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยลำพัง โดยปัจจัยที่สำคัญ ประกอบด้วย

  • ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ: ประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว มักมีแนวโน้มที่จะมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากต้นทุนการผลิต และค่าครองชีพที่สูงกว่า
  • ดัชนีค่าครองชีพ: ค่าครองชีพเป็นปัจจัยสำคัญ ในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อให้แรงงานสามารถดำรงชีพได้อย่างเหมาะสม
  • กลไกอุปสงค์และอุปทานของแรงงาน: ในพื้นที่ที่มีอุปสงค์แรงงานสูง เช่น เขตอุตสาหกรรม หรือเมืองท่องเที่ยว อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมักจะสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ เพื่อดึงดูดแรงงานที่มีคุณภาพ
  • นโยบายของภาครัฐ: ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำ และการธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพทางสังคม

ประโยชน์ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม

อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม โดยสรุป ดังนี้

  • ยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน: อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสม ช่วยให้แรงงานมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดปัญหาความยากจน และเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยพื้นฐาน
  • ส่งเสริมความเป็นธรรมในสังคม: การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และสร้างความเป็นธรรมในสังคม
  • กระตุ้นเศรษฐกิจ: อัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้แรงงานมีกำลังซื้อสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม

ความท้าทายของประเทศไทย

แม้ประเทศไทยจะมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางแรงงานในภูมิภาค แต่ยังคงมีความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งต้องได้รับการแก้ไข ดังนี้

  • ความเหลื่อมล้ำด้านค่าจ้าง: ความแตกต่างของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละพื้นที่ อาจส่งผลต่อการกระจายรายได้ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
  • การดึงดูดและรักษาแรงงานทักษะ: อัตราค่าจ้างที่ไม่สูงมากนัก อาจเป็นอุปสรรคในการดึงดูด และรักษาแรงงานทักษะ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
  • การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี: แรงงานไทยจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาทักษะ เพื่อให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ภาพรวมตลาดแรงงานไทย ศักยภาพและความท้าทายในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน

จังหวัดที่จ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูงสุดในประเทศไทย ประจำปี 2567

ประเทศไทยถือเป็นแหล่งทรัพยากรบุคคลที่มีศักยภาพสูง ข้อมูลจากเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่า ประเทศไทยมีกำลังแรงงานมากถึง 40.39 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานในช่วงอายุต่ำกว่า 35 ปี สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของกำลังคนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีแรงงานใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานกว่า 800,000 คน ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจต่างๆ

แม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของประเทศไทยจะอยู่ที่ 330 บาทต่อวัน ซึ่งมิได้อยู่ในระดับสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค แต่ประเทศไทยมีจุดแข็งที่สำคัญคือ คุณภาพของแรงงาน แรงงานไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลว่าเป็นแรงงานที่มี ประสิทธิภาพสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน มีความวิริยะอุตสาหะ มีศักยภาพในการปรับตัว และมีความพร้อมในการเรียนรู้ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ อัตราค่าจ้างแรงงาน จากข้อมูลในรูปภาพ จะเห็นได้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในแต่ละจังหวัดมีความแตกต่างกัน โดยจังหวัดภูเก็ตมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดอยู่ที่ 370 บาทต่อวัน ในขณะที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี และยะลา มีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพียง 330 บาทต่อวัน ความเหลื่อมล้ำดังกล่าว อาจส่งผลต่อการกระจายรายได้และความเป็นอยู่ของแรงงานในแต่ละพื้นที่

ยิ่งไปกว่านั้น การที่ประเทศไทยมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับนานาประเทศ อาจส่งผลให้เกิด การเคลื่อนย้ายแรงงาน ไปยังประเทศที่มีค่าตอบแทนสูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียแรงงานที่มีทักษะ ดังนั้น ภาครัฐและภาคเอกชนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การส่งเสริมคุณภาพชีวิต และการปรับปรุงสวัสดิการ เพื่อจูงใจและรักษาแรงงานที่มีคุณภาพไว้ในประเทศ

โดยสรุป ประเทศไทยมี ศักยภาพในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแรงงาน ในภูมิภาค ด้วยจำนวนแรงงานที่มาก คุณภาพของแรงงานที่โดดเด่น และมาตรฐานการจ้างงานที่เป็นสากล อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านค่าจ้าง การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน เป็นภารกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับตลาดแรงงานไทยในอนาคต

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้อ้างอิงจากประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2566 ณ วันที่ 17 เมษายน 2567 อ้างอิง  boi

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT