เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เปรียบเสมือนเรือที่กำลังแล่นฝ่าคลื่นลม ท่ามกลางมรสุมมากมาย แม้จะมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับคลื่นใต้น้ำ ที่ซุกซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย ซึ่งอาจบั่นทอนเสถียรภาพและฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
KKP Research ได้วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างละเอียด พบว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดูสดใสขึ้น แต่การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงผลจากปัจจัยบวกชั่วคราว ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะสังคมสูงวัย ปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ภาระหนี้ครัวเรือน และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อ่อนแอ
โดย SPOTLIGHT จะพาคุณมาสู่การวิเคราะห์เชิงลึก เกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อน และอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทย ฝ่าคลื่นลมและมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต
‘มาตรการแจกเงิน’ บูสต์เศรษฐกิจระยะสั้น แต่ไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง
โดย KKP Research มองว่า มาตรการแจกเงินของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวในระยะสั้น ซึ่งได้ปรับประมาณการ GDP ปี 2567 เป็น 2.8% จากเดิม 2.6% และปี 2568 เป็น 3.0% จากเดิม 2.8%
แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดูสดใสขึ้น แต่ KKP Research ชี้ว่า การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงผลจากปัจจัยบวกชั่วคราว ได้แก่ มาตรการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางในไตรมาส 4 ปี 2567 และงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ประกอบกับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัวตามวัฏจักรโลก
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น สังคมสูงวัย ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
โดย KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 2.5% หากยังไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แม้การส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอาจไม่มากนัก เนื่องจากยังมีปัจจัยลบอื่นๆ เช่น การลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว และการบริโภคสินค้าคงทนที่ลดลง
ส่งออกดีขึ้นจริงหรือ? KKP Research ชี้ ผลต่อเศรษฐกิจไทยอาจน้อยกว่าที่คิด
KKP Research ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของภาคการส่งออก (ที่แท้จริง) ของไทยในปี 2567 เป็น 2.3% จากเดิมที่ 1.3% ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี KKP Research ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การขยายตัวของภาคการส่งออกที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเชิงบวก อาจไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้
- การเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Rerouting): การส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางภาษี ซึ่งส่งผลให้มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทยมีจำกัด
- มูลค่าการส่งออกที่แท้จริง: การเติบโตของมูลค่าการส่งออก ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตในเชิงมูลค่าเงินตรา ขณะที่มูลค่าที่แท้จริงของสินค้าส่งออกอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน
- ระดับสินค้าคงคลัง: สินค้าคงคลังในบางหมวดหมู่ เช่น ICs และ Electronics ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัว ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
จากปัจจัยดังกล่าว KKP Research ประเมินว่า การเพิ่มขึ้นของการส่งออก 1% จะส่งผลบวกต่อ GDP เพียง 0.1 ถึง 0.2 จุด ลดลงจากเดิมที่เคยส่งผลประมาณ 0.3 จุด
นโยบายการคลัง แรงกระตุ้นระยะสั้น ท่ามกลางความท้าทายเชิงโครงสร้าง
KKP Research มีมุมมองว่า นโยบายการแจกเงิน 142,000 ล้านบาท หรือ 0.7% ของ GDP ให้กับกลุ่มเปราะบางในไตรมาส 4 ปี 2567 จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น โดยคาดว่าจะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.2 - 0.3 จุด และอาจผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 เติบโตเกิน 4%
ยิ่งไปกว่านั้น งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 150,000 - 180,000 ล้านบาท หรือ 0.8% - 0.9% ของ GDP ที่รัฐบาลเตรียมไว้สำหรับปี 2568 คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ให้บรรลุเป้าหมายที่ประมาณ 3% ในปีนั้น
แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ KKP Research ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ดังนี้
- ความชัดเจนของนโยบาย: หลายนโยบายยังขาดรายละเอียดและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs การอุดหนุนด้านพลังงาน และการบูรณาการเศรษฐกิจนอกระบบ
- ภาระหนี้สาธารณะ: ระดับหนี้สาธารณะของไทยกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแนวโน้มแตะระดับ 70% ของ GDP ในขณะที่รายได้จากภาษีอากรกลับลดลง
แม้การส่งออกจะแสดงสัญญาณการฟื้นตัว และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ แต่ KKP Research เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เพื่อปูทางไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว
4 ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตต่ำกว่า 2.5%
KKP Research ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 2.5% หากปราศจากนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ โดยเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างสี่ประการ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ดังนี้
- โครงสร้างประชากร: ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะสังคมสูงวัย โดยจำนวนประชากรวัยทำงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ผ่านจุดสูงสุดในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน และเป็นปัจจัยลบต่อศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาว
- ความสามารถในการแข่งขัน: ภาคการผลิตของไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้า เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ภาคการผลิตมีแนวโน้มหดตัว
- การลงทุนภาคเอกชน: การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญที่ 5.7% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา และความเปราะบางของภาคการผลิต นอกจากนี้ ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาคก่อสร้าง
- สถานะทางการเงินของครัวเรือน: ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP ซึ่งเป็นภาระทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ในขณะเดียวกัน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์ มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น สวนทางกับการหดตัวของสินเชื่อใหม่ ซึ่งบ่งชี้ถึงความเปราะบางของฐานะทางการเงินของครัวเรือน
ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสี่ประการ ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย การดำเนินนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อให้บรรลุการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
ภาวะเงินบาทแข็งค่า สัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของดุลบัญชีเดินสะพัด
แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีอัตราการแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค ทว่าการแข็งค่าดังกล่าวน่าจะเกิดจากปัจจัยชั่วคราว อาทิ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย บรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว มิได้สอดคล้องกับภาวะเงินบาทแข็งค่าในระยะสั้น โดยคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวจนใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19 แล้วก็ตาม ทั้งนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลในระดับต่ำ เพียง 1% - 3% ของ GDP เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เกินดุล 7% - 8% ของ GDP ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
- ดุลการค้าเกินดุลลดลง อันเนื่องมาจากราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก
- รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
- ต้นทุนค่าขนส่งที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19
แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มุ่งสู่ทิศทางขาลง
KKP Research จะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และ 2568 แต่ยังคงคาดการณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเริ่มดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งในปีนี้ และลดลงอีก 2 ครั้งในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2568 สู่ระดับ 1.75% เนื่องจาก
- อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศพัฒนาแล้ว
- หนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลง
ภาวะเงินบาทแข็งค่า อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังคงอ่อนแอ ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทางขาลง เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเปราะบาง เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง
จากการวิเคราะห์เชิงลึกของ KKP Research พบว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการส่งออกที่แสดงแนวโน้มขยายตัว อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวดังกล่าวยังคงมีความเปราะบาง และต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ภาวะสังคมสูงวัย ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย ภาระหนี้ครัวเรือน และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อ่อนแอ
ดังนั้น การดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย และนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว โดยภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของกำลังแรงงาน การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารจัดการวินัยทางการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเอาชนะอุปสรรค และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต