ข่าวเศรษฐกิจ

มาตรการแจกเงินบูสต์เศรษฐกิจระยะสั้น ไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง

21 ต.ค. 67
มาตรการแจกเงินบูสต์เศรษฐกิจระยะสั้น ไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง

เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน เปรียบเสมือนเรือที่กำลังแล่นฝ่าคลื่นลม ท่ามกลางมรสุมมากมาย แม้จะมีแรงส่งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัว แต่ก็ยังต้องเผชิญกับคลื่นใต้น้ำ ที่ซุกซ่อนปัญหาเชิงโครงสร้างมากมาย ซึ่งอาจบั่นทอนเสถียรภาพและฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว 

KKP Research ได้วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยอย่างละเอียด พบว่า แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดูสดใสขึ้น แต่การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงผลจากปัจจัยบวกชั่วคราว ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นภาวะสังคมสูงวัย ปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ภาระหนี้ครัวเรือน และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อ่อนแอ 

โดย SPOTLIGHT จะพาคุณมาสู่การวิเคราะห์เชิงลึก เกี่ยวกับปัจจัยขับเคลื่อน และอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อนำพาเศรษฐกิจไทย ฝ่าคลื่นลมและมุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

‘มาตรการแจกเงิน’ บูสต์เศรษฐกิจระยะสั้น แต่ไทยยังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้าง

โดย KKP Research มองว่า มาตรการแจกเงินของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวในระยะสั้น ซึ่งได้ปรับประมาณการ GDP ปี 2567 เป็น 2.8% จากเดิม 2.6% และปี 2568 เป็น 3.0% จากเดิม 2.8%

แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะดูสดใสขึ้น แต่ KKP Research ชี้ว่า การฟื้นตัวครั้งนี้เป็นเพียงผลจากปัจจัยบวกชั่วคราว ได้แก่ มาตรการแจกเงินให้กลุ่มเปราะบางในไตรมาส 4 ปี 2567 และงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2568 ประกอบกับการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ฟื้นตัวตามวัฏจักรโลก

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น สังคมสูงวัย  ปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและหนี้ครัวเรือน  ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ  

โดย KKP Research ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่า 2.5% หากยังไม่มีการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจัง แม้การส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น  แต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมอาจไม่มากนัก เนื่องจากยังมีปัจจัยลบอื่นๆ เช่น การลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัว  และการบริโภคสินค้าคงทนที่ลดลง

ส่งออกดีขึ้นจริงหรือ? KKP Research ชี้ ผลต่อเศรษฐกิจไทยอาจน้อยกว่าที่คิด

KKP Research ได้ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตของภาคการส่งออก (ที่แท้จริง) ของไทยในปี 2567  เป็น 2.3% จากเดิมที่ 1.3%  ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงที่ผ่านมา  อย่างไรก็ดี KKP Research ได้ตั้งข้อสังเกตว่า  การขยายตัวของภาคการส่งออกที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณเชิงบวก  อาจไม่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมีนัยสำคัญ  โดยมีปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา  ดังนี้

  • การเปลี่ยนเส้นทางการค้า (Rerouting): การส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนเส้นทางการค้า เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการกีดกันทางภาษี ซึ่งส่งผลให้มูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นภายในประเทศไทยมีจำกัด
  • มูลค่าการส่งออกที่แท้จริง: การเติบโตของมูลค่าการส่งออก ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตในเชิงมูลค่าเงินตรา ขณะที่มูลค่าที่แท้จริงของสินค้าส่งออกอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน
  • ระดับสินค้าคงคลัง: สินค้าคงคลังในบางหมวดหมู่ เช่น ICs และ Electronics ยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าการส่งออกจะขยายตัว ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่

จากปัจจัยดังกล่าว  KKP Research ประเมินว่า  การเพิ่มขึ้นของการส่งออก 1%  จะส่งผลบวกต่อ GDP เพียง 0.1 ถึง 0.2 จุด  ลดลงจากเดิมที่เคยส่งผลประมาณ 0.3 จุด

นโยบายการคลัง แรงกระตุ้นระยะสั้น ท่ามกลางความท้าทายเชิงโครงสร้าง

KKP Research มีมุมมองว่า  นโยบายการแจกเงิน 142,000 ล้านบาท  หรือ 0.7% ของ GDP  ให้กับกลุ่มเปราะบางในไตรมาส 4 ปี 2567  จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น  โดยคาดว่าจะส่งผลบวกต่อ GDP ประมาณ 0.2 - 0.3 จุด  และอาจผลักดันให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 เติบโตเกิน 4%

ยิ่งไปกว่านั้น  งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ  150,000 - 180,000 ล้านบาท  หรือ 0.8% - 0.9% ของ GDP  ที่รัฐบาลเตรียมไว้สำหรับปี 2568  คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ  ให้บรรลุเป้าหมายที่ประมาณ 3% ในปีนั้น

แม้จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  แต่ KKP Research ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ  ดังนี้

  • ความชัดเจนของนโยบาย: หลายนโยบายยังขาดรายละเอียดและแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs การอุดหนุนด้านพลังงาน และการบูรณาการเศรษฐกิจนอกระบบ
  • ภาระหนี้สาธารณะ: ระดับหนี้สาธารณะของไทยกำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยมีแนวโน้มแตะระดับ 70% ของ GDP ในขณะที่รายได้จากภาษีอากรกลับลดลง

แม้การส่งออกจะแสดงสัญญาณการฟื้นตัว  และมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ  แต่ KKP Research  เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง  เพื่อปูทางไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระยะยาว

4 ปัญหาเชิงโครงสร้าง ตัวฉุดรั้งเศรษฐกิจไทยสู่การเติบโตต่ำกว่า 2.5%

KKP Research ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่า 2.5% หากปราศจากนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ  โดยเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับแรงกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างสี่ประการ  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว  ดังนี้

  1. โครงสร้างประชากร:  ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะสังคมสูงวัย  โดยจำนวนประชากรวัยทำงานได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง  นับตั้งแต่ผ่านจุดสูงสุดในปี พ.ศ. 2558  ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน  และเป็นปัจจัยลบต่อศักยภาพการผลิตของประเทศในระยะยาว
  2. ความสามารถในการแข่งขัน:  ภาคการผลิตของไทยประสบปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่ลดลงในหลายอุตสาหกรรม  เช่น  อุตสาหกรรมยานยนต์  อิเล็กทรอนิกส์  และปิโตรเคมี  ทั้งนี้  การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว  และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นจากสินค้านำเข้า  เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ภาคการผลิตมีแนวโน้มหดตัว
  3. การลงทุนภาคเอกชน:  การลงทุนภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้  หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญที่ 5.7%  สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้  สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง  ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา  และความเปราะบางของภาคการผลิต  นอกจากนี้  ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา  ยังส่งผลกระทบต่อการลงทุนในภาคก่อสร้าง
  4. สถานะทางการเงินของครัวเรือน:  ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยยังคงอยู่ในระดับสูง  คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ GDP  ซึ่งเป็นภาระทางเศรษฐกิจที่สำคัญ  และส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ  ในขณะเดียวกัน  หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบธนาคารพาณิชย์  มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น  สวนทางกับการหดตัวของสินเชื่อใหม่  ซึ่งบ่งชี้ถึงความเปราะบางของฐานะทางการเงินของครัวเรือน

ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งสี่ประการ  ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย  การดำเนินนโยบายปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน  จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง  และยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ  เพื่อให้บรรลุการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

ภาวะเงินบาทแข็งค่า สัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของดุลบัญชีเดินสะพัด

แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา  จนเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่มีอัตราการแข็งค่าสูงสุดในภูมิภาค  ทว่าการแข็งค่าดังกล่าวน่าจะเกิดจากปัจจัยชั่วคราว อาทิ  การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ  อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย  บรรยากาศการลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้นภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจน  และการปรับตัวสูงขึ้นของราคาทองคำ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาว  มิได้สอดคล้องกับภาวะเงินบาทแข็งค่าในระยะสั้น  โดยคาดการณ์ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังคงอยู่ในภาวะเปราะบาง  แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะฟื้นตัวจนใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19 แล้วก็ตาม  ทั้งนี้  ดุลบัญชีเดินสะพัดมีแนวโน้มเกินดุลในระดับต่ำ  เพียง 1% - 3% ของ GDP  เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เกินดุล 7% - 8% ของ GDP  ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากหลายปัจจัย  ได้แก่

  • ดุลการค้าเกินดุลลดลง อันเนื่องมาจากราคาเชื้อเพลิงที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับปัญหาความสามารถในการแข่งขันของภาคการส่งออก
  • รายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
  • ต้นทุนค่าขนส่งที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตการณ์โควิด-19

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มุ่งสู่ทิศทางขาลง

KKP Research จะปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 และ 2568  แต่ยังคงคาดการณ์ว่า  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  จะเริ่มดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งในปีนี้  และลดลงอีก 2 ครั้งในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2568  สู่ระดับ 1.75%  เนื่องจาก

  • อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของประเทศพัฒนาแล้ว
  • หนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลง

ภาวะเงินบาทแข็งค่า  อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังคงอ่อนแอ  ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทางขาลง  เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเปราะบาง เร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง

จากการวิเคราะห์เชิงลึกของ KKP Research พบว่าเศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป  โดยมีแรงขับเคลื่อนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ  และการส่งออกที่แสดงแนวโน้มขยายตัว  อย่างไรก็ตาม  การฟื้นตัวดังกล่าวยังคงมีความเปราะบาง  และต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง  เช่น  ภาวะสังคมสูงวัย  ความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอย  ภาระหนี้ครัวเรือน  และดุลบัญชีเดินสะพัดที่อ่อนแอ

ดังนั้น  การดำเนินนโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง  จึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทย  และนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว  โดยภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของกำลังแรงงาน  การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี  การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน  และการบริหารจัดการวินัยทางการคลังอย่างมีประสิทธิภาพ  เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถเอาชนะอุปสรรค  และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนาคต

advertisement

Relate Post

SPOTLIGHT