Twitter เลหลังของในออฟฟิศหาเงินใช้หนี้ จ่ายดอกเบี้ย 9.9 พันล้านวีคหน้า

สถานภาพทางการเงินของ Twitter เข้าขั้นย่ำแย่ ต้องออกมาเลหลังขายของใช้ในออฟฟิศเพื่อหาเงินใช้หนี้มูลค่าถึง 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 4.12 แสนล้านบาทที่ ‘อีลอน มัสก์’ ซีอีโอคนใหม่ก่อไว้เมื่อเข้าซื้้อบริษัท

คอนเทนต์แนะนำ

ดับแล้ว 5 ศพ! นักท่องเที่ยวต่างชาติสังเวยชีวิตให้เหล้าผสมเมทานอลในลาว

ทำถึง! ทีมเชียร์ลีดเดอร์ขอนแก่นวิทยายน จากไวรัลชุดบอดี้มนุษย์และเปรต

รมช.คลัง แนะเข้าเว็บ Welfare.mof.go.th ยืนยันสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

งานนี้ปล่อยขายทุกอย่างตั้งแต่แมสก์ KN95 ไปยันโต๊ะ เก้าอี้ เครื่องทำกาแฟ ในขณะที่รูปปั้นนกฟ้าที่ตั้งประจำสำนักงานใหญ่มานานหลายปีมีผู้ซื้อไปในราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 ล้านบาท)

จากการรายงานของ Bloomberg การประมูลครั้งนี้จัดโดยบริษัท Heritage Global Partners และมีข้าวของเครื่องใช้ในสำนักงานใหญ่ที่เมืองซานฟรานซิสโกถึง 631 ชิ้น ถูกประมูลขายในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ในสำนักงาน เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เนอร์ เครื่องทำกาแฟ หรือแม้แต่แมสก์ KN95 100 กล่อง

โดยจากการรายงานของ ฺBBC นอกจากรูปปั้นนกสีฟ้าที่มีผู้ชื้อไปในราคา 100,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว ทวิตเตอร์ยังได้เงินพอสมควรจากการขายกระถางต้นไม้รูป @ ที่ขายไปในราคาเกือบ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.9 แสนบาท) เครื่องทำกาแฟไฮเอนด์ La Marzocco Strada 3 ที่ขายไปในราคา 13,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.4 แสนบาท) และโต๊ะประชุมไม้แบบสั่งทำที่ขายไปในราคาเกือบ 10,500 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.4 แสนบาท)

บริษัท Heritage Global Partners กล่าวว่าการที่ Twitter นำของใช้มือสองออกมาเลขายในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะ Twitter มีปัญหาทางการเงิน และต้องการนำเงินมาใช้หนี้ และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสถานะทางการเงินของบริษัท

Twitter เสี่ยงล้มละลาย มัสก์เร่งตัดค่าใช้จ่าย หาเงินกู้สถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้จัดจะออกมาปฏิเสธว่าการประมูลในครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถานการณ์ทางการเงินของบริษัท แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าในขณะนี้ Twitter กำลังต้องการเงินจำนวนมาจ่ายหนี้เพื่อพยุงให้บริษัทอยู่รอด และไม่ต้องยื่นล้มละลาย

ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นผู้บริหาร อีลอน มัสก์ก็พยายามดิ้นรนหารายได้เพิ่ม และลดค่าใช้จ่ายให้กับ Twitter มาด้วยหลายต่อหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น

1. การไล่ทีมผู้บริหารชุดเก่าออก และประกาศเลย์ออฟพนักงานถึง 50% ของบริษัท 
2. สร้างแพลน subscription ให้ผู้ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อเครื่องหมายถูกสีฟ้าหลังชื่อเพื่อยืนยันตัวตนได้
3. ขายหุ้น Tesla มูลค่ารวมถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.2 แสนล้านบาท 
4. ประกาศให้พนักงานสิงคโปร์เก็บของออกจากออฟฟิศแล้วทำงานที่บ้านเพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ไปกับอาคารสำนักงาน 
5. เสนอแพลนพื้นที่ลงโฆษณาฟรี 250,000-500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดึงให้ลูกค้ากลับมาลงโฆษณาบนแพลตฟอร์ม หลังพากันหนีหายไปหลังมัสก์ขึ้นเป็นซีอีโอ เพราะไม่พอใจนโยบายของมัสก์ที่จะลดการคัดกรงอคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม ทำให้เหล่าแบรนด์กลัวว่าโฆษณาของตนจะได้ขึ้นคู่กับโพสที่มีเนื้อหาผิดกฎหมาย หรือมีเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังแก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

โดยความพยายามล่าสุดที่จะลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มเงินของ Twitter ก็คือการเอาของใช้ในออฟฟิศออกวางขาย และการเลย์ออฟพนักงานอีกครั้งเป็นจำนวน 50 คน ที่อาจจะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในไม่อีกกี่สัปดาห์นี้

จากการรายงานของ Bloomberg Twitter มีกำหนดต้องจ่ายดอกเบี้ยก้อนแรกมูลค่าถึง 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.9 พันล้านบาท ให้กับธนาคารเจ้าหนี้ ภายในวันที่ 27 มกราคมที่จะมาถึงในสัปดาห์หน้า ซึ่งถึงแม้ในขณะนี้บริษัทจะมีเงินสดสำรองอยู่ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ยังมีเงินพอจ่ายดอกเบี้ยก้อนแรก ก็มีคนคาดการณ์ว่าอีลอน มัสก์อาจพยายามต่อรองกับธนาคารเพื่อขอยืดการจ่ายออกไป เพราะในตอนนี้ Twitter ยังไม่สามารถกลับมาสร้างรายได้ได้เท่าที่ควร 

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ของ Bloomberg มองว่ายังไงมัสก์ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยก้อนนี้ เพราะถ้ามัสก์หาทางเบี้ยวไม่จ่าย ธนาคารอาจอ้างได้ว่า Twitter ผิดชำระหนี้ และบังคับให้ Twitter ยื่นล้มละลาย ซึ่งจะทำให้มัสก์ที่ถือหุ้นถึง 79% ของ Twitter ในขณะนี้เจ็บหนักแน่นอน

เบื้องต้น อีลอน มัสก์ คาดการณ์ว่า Twitter น่าจะพอพยุงบริษัทให้ไม่ขาดทุนได้ในสิ้นปีนี้หลังลดค่าใช้จ่ายไปจำนวนมากจากการเลย์ออฟที่ทำให้พนักงานทั้งบริษัทเหลือเพียงประมาณ 2,000 คนในตอนนี้ จาก 8,000 คน ก่อนที่มัสก์จะเข้ามาเป็นซีอีโอ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะกำลังพยายามดันให้บริษัทไปรอดอย่างสุดแรงเกิด มัสก์ก็ได้ออกมาแย้มๆ แล้วว่าถ้าหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น และบริษัทยังไม่สามารถดึงผู้ลงโฆษณาที่สร้างรายได้ถึง 90% ให้กับบริษัทกลับมาได้ Twitter ก็อาจต้องพิจารณายื่นล้มละลาย ปิดฉากแอพพลิเคชั่นนกฟ้านี้ลงจริงๆ ในวันใดวันหนึ่ง

ที่มา: Bloomberg(1), Bloomberg(2), BBC, Heritage Global Partners