เมื่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) นัดแรกปี 2566 (25 ม.ค.2566) มีมติเป็นเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% อยู่ที่ 1.50% จากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนจะได้รับแรงส่งต่อเนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่การส่งออกสินค้าชะลอตัวในปีนี้ แต่จะกลับมาขยายตัวดีขึ้นในปี 2567 ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ปรับดีขึ้น ด้านอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มลดลง
หลังจากนั้น ธนาคารต่างๆ ขานรับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) นำโดยธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่ต่างพากันขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
เริ่มจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.2566 เป็นครั้งแรกรอบ 2 ปี 9 เดือน ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ธอส. เป็นดังนี้
ตามมาด้วยธนาคารออมสิน ก็เช่นเดียวกันประกาศในเว็บไซต์ธนาคาร เมื่อวันที่ 27 ม.ค.2566 ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.25% ต่อปี ซึ่งไม่ได้มีการปรับขึ้นเป็นเวลากว่า 2 ปี
รวมถึง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% - 0.25% ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ตั้งแต่ 1 ก.พ. 66
ด้านธนาคารพาณิชย์ นำโดยธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเว็บไซต์ และมีผลตั้งแต่ 27 ม.ค.2566 เช่นเดียวกับธนาคารออมสิน โดยประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.05%-0.25% ต่อปี ดังนี้
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ อยู่ที่ 0.50% ต่อปี
พร้อมปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.15%-0.20% ต่อปี ดังนี้
ขณะนี้ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ก็ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเช่นเดียวกัน โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้สูงขึ้น 0.10% - 0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่ 30 ม.ค.2566 ดังนี้
และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.10%-0.20% ต่อปี ดังนี้
“ ตามการส่งผ่านนโยบายการเงิน และเพิ่มกำลังซื้อให้กับลูกค้าในภาวะที่ภาระค่าใช้จ่ายยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ธนาคารจึงได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำให้สูงขึ้น 0.10% - 0.25% ต่อปี และเพื่อดูแลลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการรายเล็กให้สามารถปรับตัวได้อย่างราบรื่นในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ธนาคารจึงดำเนินการปรับดอกเบี้ยเงินกู้อย่างรอบคอบและระมัดระวัง” นายกฤษณ์ จิตต์แจ้ง กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า
ทั้งนี้ ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลและช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้ารายย่อยและกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณามาตรการความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับลูกค้าที่อาจได้รับผลกระทบและคำนึงถึงศักยภาพ และโอกาสในการปรับตัวของลูกค้าในอนาคต โดยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบสามารถดำเนินการติดต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร
ขณะที่ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ตามมาติดๆ ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก 0.10%-0.25% ต่อปี มีผลตั้งแต่ 30 ม.ค.2566 ดังนี้
และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.10%-0.20% ต่อปี ดังนี้
นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ จากภาวะเศรษฐกิจไทยที่กำลังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ส่งผลต่อเนื่องมายังต้นทุนในระบบธนาคารที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตาม”
นอกจากนี้ เพื่อให้การดำเนินงานของธนาคารไทยพาณิชย์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับทิศทางดอกเบี้ยภายในประเทศ และสะท้อนต้นทุนทางการเงินในระบบที่สูงขึ้น ธนาคารจึงมีความ
จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อช่วยส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวและให้ผู้ฝากเงินมีรายได้เพิ่มขึ้น ตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้
อัตราดอกเบี้ยของไทยถือว่า ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบเป้าหมายของแบงก์ชาติที่ 1.0-3.0% ในแง่บวกของเราๆ คือ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ปรับเพิ่มขึ้น สำหรับผู้มีเงินฝาก จากที่ไม่ได้มีการปรับขึ้นมาหลายปี ขณะที่สำหรับคนมีหนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็ปรับเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น คนมีหนี้ก็จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเช่น
แต่หากท่านไม่สามารถแบกรับภาระหนี้ไหว ก็อยากจะแนะนำให้ปรึกษาธนาคารที่ท่านขอสินเชื่อ หรือเข้าร่วมงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ของแบงก์ชาติได้ ยังเป็นตัวช่วยให้ท่านผ่านวิกฤตหนี้ไปได้…ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ไข…ขอเพียงท่านค่อยๆ คิด ค่อยๆ หาทางแก้ปัญหา