ตลาดหุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อยในวันนี้ หลังตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าเมื่อทรัมป์ชะลอการขึ้นภาษี แคนาดา เม็กซิโก 25% ออกไปอีก 30 วัน
ช่วงเวลาประมาณ 10.00 ดัชนีหุ้นไทย เปิดที่บวกประมาณ 6 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,310.61 จุด หรือราว0.48% ฟื้นตัวได้เล็กน้อยหลังจากเมื่อวานลงหนัก40 จุดหลุด 1,300 จุดและฟื้นกลับมาในช่วงท้ายตลาดได้สำเร็จ
ภาพรวมตลาดหุ้นเอเชียเปิดพุ่งขึ้นในวันนี้ (4 ก.พ.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ชะลอแผนการเก็บภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาเป็นเวลา 1 เดือน
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดที่ระดับ 39,078.66 จุด เพิ่มขึ้น 558.57 จุด หรือ +1.45% และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ระดับ 20,488.29 จุด เพิ่มขึ้น 271.03 จุด หรือ +1.34%
ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้พุ่งขึ้น 1.26% และดัชนี S&P/ASX 200 ตลาดหุ้นออสเตรเลียปรับตัวขึ้น 0.65% ส่วนตลาดหุ้นจีนยังคงปิดทำการในวันนี้เนื่องในเทศกาลตรุษจีน
ขณะที่ราคาทองคำวันนี้ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาทองคำในประเทศช่วงเปิดตลาดบวกขึ้นมา 250 บาท ต่อบาททองคำ
ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 45,100 บาท ขายออกบาทละ 45,200 บาท
ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 44,282.36 บาท ขายออกบาทละ 45,700 บาท
Gold Spot อยู่ที่ 2,823.50 บาท ค่าเงินบาท 33.85 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
จากนั้นมาราคาทองในประเทศก็มีการปรับขึ้นลง 8 ครั้ง โดยรวมยังเพิ่มขึ้นอยู่ 200 บาทต่อบาททองคำ
บทวิเคราะห์ของบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ระบุว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทำ All-time high ที่ 2,830 ดอลลาร์ เพราะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีสินค้านำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคาดว่าวันนี้ราคาทองคำอาจปรับตัวขึ้นต่อ แต่อาจเคลื่อนไหวในกรอบแคบลง แนะนำนักลงทุนให้ระมัดระวังการเข้าซื้อ เน้นการเข้าออกเร็ว หรือรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคาทองคำแท่งย่อตัวลงมา
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ได้โพสข้อความผ่านทางแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า การระงับมาตรการภาษีดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อข้อตกลงของแคนาดาที่จะจัดการไม่ให้มีการลักลอบนำสารเสพติดเฟนทานิลข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐฯ
ด้านเม็กซิโก ประธานาธิบดี คลอเดีย เชนบาม ยินยอมที่จะส่งกำลังทหารจำนวน 10,000 นายไปประจำการตามแนวชายแดนตอนเหนือเพื่อป้องกันการลักลอบนำยาเสพติดจากเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ โดยเฉพาะยาเฟนทานิลเช่นกัน อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามสถานการณ์สงครามการค้ากันต่อ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจไทยในประเทศจับตาการหารือของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทอง ธาร ชินวัตร กับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน นอกจากนี้ปลายสัปดาห์จะเป็นกลุ่ม ICT และกลุ่มไฟแนนซ์จะรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 4/67 ด้วย
เวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 4 ก.พ. 2568 เวลาไทย จีนได้ประกาศมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ โดยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 10% หลายรายการ ได้แก่ น้ำมันดิบและเครื่องจักรการเกษตร (10%) รวมถึงถ่านหิน และ LNG (15%) มีผลวันที่ 10 ก.พ. นอกจากนี้ จีนดำเนินการสอบสวน Google ในข้อหาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด และเพิ่มบริษัท PVH (เจ้าของแบรนด์ Calvin Klein) และ Illumina เข้าสู่รายชื่อบริษัทที่ไม่น่าเชื่อถือ
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอ็กซ์ มองว่าสถานการณ์การขึ้นภาษีของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่เป็นไปได้ที่ทรัมป์จะใช้คำขู่เรื่องภาษีนำเข้ากับเม็กซิโกและแคนาดาเป็นแต้มต่อ (อาจจะสามารถขึ้นเพื่อจุดประสงค์อื่น) ขณะที่อาจต้องการทำสงครามการค้ากับจีนอย่างจริงจัง สถานการณ์นี้เริ่มเข้าไปใกล้สมมุติฐานของ IMF มากขึ้น นั่นคือ
1.สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 10% ในสินค้าทุกชนิด (Broad-based) กับจีนและยุโรป
2.จีนและยุโรปตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีอัตราที่เท่ากัน
3.สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 10% Broad-based กับทุกประเทศทั่วโลก
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจ บล.อินโนเวสท์ เอ็กซ์ คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนขยายตัวที่ 1.9% และ 4.5% ตามลำดับ ต่ำกว่ากรณีฐานของ IMF คาดไว้ที่ 2.7% และ 4.6% ตามลำดับ โดยเรามองว่าหากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบมากขึ้นจากสงครามการค้า รัฐบาลจีนจะอัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ทำให้ผลกระทบต่อสงครามการค้าต่อเศรษฐกิจจีนน้อยกว่า -0.2% ตามการ Run Sensitivity Analysis ของ IMF
ขณะที่ในส่วนของการนำเข้าพลังงานและสินค้าที่ขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ จีนไม่ได้นำเข้าอย่างมีนัยสำคัญ โดย จีนนำเข้า LNG ส่วนใหญ่จากออสเตรเลีย, กาตาร์ และมาเลเซีย (สหรัฐฯ ไม่ติด Top 3) ขณะที่จีนนำเข้าน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ประมาณ 3-4% ของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด ส่วนเครื่องจักรการเกษตรสัดส่วนการนำเข้าจากสหรัฐฯ มีไม่มากนัก เนื่องจากจีนมีการผลิตภายในประเทศและนำเข้าจากเยอรมนี และญี่ปุ่นเป็นหลัก
บ่งชี้ว่า การประกาศครั้งนี้ เป็นการประกาศในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าต้องการจะให้เกิดผลกระทบจริง
โดยสรุป ณ สถานการณ์ปัจจุบัน เรามองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ, ยุโรป, จีน และไทย ในปี 2025 ขยายตัวที่ 1.9%, 0.8%, 4.5% และ 2.5% ขณะที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ, ยุโรป และไทย จะลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง, 4 ครั้ง และ 2 ครั้งในปี 2025 ตามลำดับ โดยการคาดการณ์นี้อยู่บนสมมุติฐาน 1) และ 2) ของ IMF
ปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เก็บกับจีน และจีนเก็บกับสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 19-21% และหากรวมอัตราภาษีล่าสุด อัตราภาษีสุทธิที่เก็บระหว่างกันของทั้งสองประเทศจะอยู่ที่ 25-30% (สหรัฐฯ เก็บกับจีนประมาณ 30% จีนเก็บกับสหรัฐฯ ประมาณ 25%)