Tesla ผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ต่ำกว่าคาดการณ์ โดยกำไรสุทธิลดลงมากกว่า 40% สาเหตุหลักมาจากการปรับลดราคารถยนต์ไฟฟ้าในหลายตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขาย
จากรายงานของทางเว็บไซต์ asia.nikkei ที่ได้กล่าวว่า Tesla ยักษ์ใหญ่รถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติสหรัฐฯ ได้รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้หุ้นร่วงลงเกือบ 5% ในการซื้อขายหลังตลาดวันพุธที่ผ่านมา โดย กำไรสุทธิลดลงมากกว่า 40% เหลือ 1.9 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงสามเดือนที่สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 9% เป็น 23.4 พันล้านดอลลาร์ แต่อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงอย่างมากเหลือ 7.6% จาก 17.2% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
จากคำกล่าวในการประชุมรายได้ อีลอน มัสก์ CEO ของ Tesla กล่าวว่า บริษัทจำเป็นต้องลดราคารถยนต์ไฟฟ้า เพื่อจูงใจกลุ่มลูกค้าที่เวลานี้ ไม่ใช้จ่ายเงินเยอะ ท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึง การมาของแข่งขันอย่าง General Motors และ Ford ที่เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ ด้วยราคาที่ย่อมเยากว่า
"ต้นทุนสำคัญแค่ไหน ผมบอกไม่ได้ เพราะว่ารถยนต์ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นตัวเลือกสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็น ดังนั้นเราจะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์ของเรามีราคาที่ถูกลงเพื่อให้ สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อรายใหม่ๆได้"
นอกจากนี้ มัสก์ ยังกล่าวเสริมว่า "การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นตัวส่งผลต่อความสามารถในการซื้อรถยนต์ของผู้บริโภค เหมือนกับเป็นการเพิ่มขึ้นของราคารถยนต์ไปโดยปริยาย" ดังนั้นแนวทางการลด ราคารถยนต์ EV ลงในหลาย ๆ ตลาดในเวลานี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเราจะยังคงพิจารณาปรับลดราคาเพิ่มเติมต่อไป หากจำเป็น
"การลดราคารถยนต์ของ Tesla อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดในระยะยาว" อีลอน มัสก์ กล่าวในการประชุมรายได้
เนื่องจาก Tesla ลดราคาในหลายตลาดและลดราคาอย่างต่อเนื่องทั้งใน จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และตลาดอื่นๆ เพื่อพยายามกระตุ้นความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า หลังจากยอดขายหดตัวในไตรมาสที่ 2 จากการที่ต้นทุนแบตเตอรี่เพิ่มสูงขึ้นและเศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการพัฒนา Cybertruck, ปัญญาประดิษฐ์ และการปรับปรุงโรงงาน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการลดราคาของ Tesla อาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรในระยะยาว และทำให้บริษัทเสียเปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งรายอื่นๆ ที่ไม่สามารถลดราคาได้มากเท่ากัน เวลานี้คงยังคงต้องรอดูต่อไปว่าทาง Tesla จะสามารถฟื้นตัวในไตรมาสที่ 4 และจะกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งหรือไม่
Tesla ผลิตรถยนต์ได้น้อยลงในไตรมาสที่ 3 เนื่องจากหยุดทำงานตามกำหนดและการส่งมอบ รถยนต์ EV ที่ชะลอตัวในจีน แต่บริษัทคาดว่าจะสามารถกลับมาเพิ่มอัตราการผลิต ได้ในไตรมาสที่ 4 โดยโรงงาน Gigafactory ในเซี่ยงไฮ้ยังคงเป็นศูนย์กลางการส่งออกหลักของ Tesla และเป็นผู้ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีนรายใหญ่ที่สุด
ถึงแม้ว่าจะกำไรลดลงไม่เป็นไปตามเป้าแต่บริษัท Tesla ยังคงมีกำไรจากข้อมูลล่าสุดที่ companiesmarketcap รายงานว่า รายรับในปี 2023 อยู่ที่ 94.02 พันล้านดอลลาร์ (ตัวเลขปัจจุบันยังไม่จบปี) ที่มากกว่าปีก่อน 15.43% อยู่ที่ 81.46 พันล้านดอลลาร์
อ้างอิงข้อมูลจาก asia.nikkei และ companiesmarketcap