ปัจจัยสำคัญของโลกการลงทุนอยู่ที่การดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในช่วง 5.25%-5.5% ตามที่นักลงทุนได้คาดการณ์ไว้ นอกจากผลการประชุม Fed ยังเผยแพร่ ‘dot plot’ ที่มีการแสดงคาดการณ์ของผู้กำหนดนโยบายว่าอัตราดอกเบี้ยในอนาคตว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยถึง 0.75% หรือ 3 ครั้งในปีหน้า และตลาดคาดเดาว่าจะปรับลดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 ซึ่งช่วงนี้ตลาดได้รับรู้ข่าวดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าดัชนี Dow Jones ทำจุดสูงสุดในประวัติการณ์ทะลุ 37,300 จุด
ขณะที่ดัชนี S&P500 ก็ทำ New High ส่งท้ายปีไปเรียบร้อยแล้วเช่นเดียวกัน ซึ่งในปีนี้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วยเหตุผลหลักๆ จากกลุ่มหุ้น Magnificent 7 โดยปรับบวกไปเฉลี่ยถึง 71% ตั้งแต่ต้นปีตามข้อมูลของ Goldman Sachs และมูลค่าทั้ง 7 ตัวนั้นมีนํ้าหนักใน S&P500 ถึง 31% และมีค่า P/E เฉลี่ยถึง 29 เท่า ล่าสุด Goldman Sachs ยังได้ปรับเป้าหมายดัชนี S&P500 อีกครั้ง โดยได้มีการให้เป้า S&P500 ถึง 5,100 จุดหรือคิดเป็น upside อีกถึง 8.5% โดยประมาณ
จะเห็นได้ว่า หุ้นสหรัฐฯ ที่แม้จะมีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไปได้ในปี 2567 แต่ในแง่มูลค่าก็ถือว่าอยู่ในระดับสูงมากแล้ว โดยเฉพาะนักลงทุนที่ยังไม่เคยลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มาก่อน ดังนั้น หากมองในมุมนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าหรือ VI แล้ว เราควรจะลงทุนอะไรที่ได้ผลตอบแทนเยอะๆ ก็จะมองไปที่การลงทุนในประเทศที่กำลังมีวิกฤต ถูกแรงเทขายราคาปรับลดลงมา
แต่มูลค่าที่แท้จริงยังดีอยู่ เพราะในช่วงที่เกิดวิกฤตคนเทขายหุ้นออกมามาก เพราะฉนั้นถ้าเราเจอหุ้นดีราคาถูกมันก็จะวิ่งกลับมาได้เร็ว และถ้าถามว่าจะลงทุนประเทศไหนดี ก็ต้องบอกว่าประเทศที่หุ้นตกเยอะ ที่ยังเติบโตได้ดีและราคาถูก ซึ่ง Jitta Wealth ก็ได้ลองประเมินผลตอบแทนการลงทุนของพอร์ตลูกค้าหลังวิกฤต Covid-19 แล้วพบว่า การลงทุนหลังวิกฤตให้ผลตอบแทนที่ดีมากกว่าภาพรวมตลาดได้จริงๆ
"ผมขอยกตัวอย่างประเทศแรก คือ ‘จีน’ เพราะเศรษฐกิจยังดีและมีการเติบโตอยู่ และหากเชื่อในสถิติ เราจะเห็นว่า ในอดีตที่ผ่านมา ทุกๆ 10 ปี หุ้นจะขึ้น 7 ปี และจะลง 3 ปี เวลานี้ตลาดหุ้นจีนลงมาแล้ว 3 ปีติด ทั้งที่การเติบโตยังมีอยู่ และราคาก็ค่อนข้างถูก และถ้าเราไปดูหุ้นรายตัวก็เป็นแบบนี้หลายตัวรายได้และการเติบโตดีอยู่ แต่ราคาต่ำลงในรอบหลายปี"
อีกปัจจัยหนึ่ง คือ หุ้นหลายๆ ตัว Market Cap ตกลงมาเยอะมากตามภาวะตลาด ในขณะที่เงินสดเพิ่มขึ้น เช่นหุ้นจีนบางตัวมีเงินสดอยู่ประมาณ 20% ของ Market Cap แล้ว เทียบหุ้นสหรัฐฯ อย่าง Apple, Microsoft มี Market Cap ที่สูง แต่เงินสดเทียบกับ Market Cap ที่ 5% แสดงให้เห็นว่าหุ้นจีนบางตัวตอนนี้ราคาถูกผิดปกติแล้ว
หากมองภาพรวมเศรษฐกิจจีน ในปี 2567 ยังมีแนวโน้มชะลอตัวทั้งในระยะสั้นและระยะปานกลาง จากปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอ และปัญหาภาคส่งออกที่อ่อนแรง ซึ่งจีนไม่ได้เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมากเหมือนในอดีต รัฐบาลจีนเองก็พยายามหามาตราการต่างๆ มาช่วยพยุงเต็มที่ เช่น การปรับลด Loan Prime Rate 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อกระตุ้นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ มีการเพิ่มการขาดดุลจาก 3% เป็น 3.8% ธนาคารกลางจีนยังต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่อง
ล่าสุด Moody’s บริษัทจันอันดับความน่าเชื่อถือรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ปรับแนวโน้มอันดับเครดิต ของพันธบัตรรัฐบาลจีนจากระดับมีเสถียรภาพ (Stable outlook) ลงเป็นมุมมองเชิงลบ (Negative) ตอกย้ำความกังวลของทั่วโลกเกี่ยวกับระดับหนี้ของจีน ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) ของพันธบัตรระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ A1 ซึ่งเป็นอันดับเครดิตที่น่าเชื่อถือระดับปานกลางค่อนไปทางสูง
สำหรับปี 2567 จีนอาจจะได้รับผลทางอ้อมจากสหรัฐฯ ที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า อาจมีการพลิกขั้ว ‘โดนัลล์ ทรัมป์’ จากพรรค Republican อาจจะกลับมาอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นก็อาจทำให้ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐฯ -จีน ให้มีโอกาสขยายตัวได้ ขณะที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ‘โจ ไบเดน’ มีท่าทีเจรจาสร้างความสัมพันธ์เป็นมิตรกับจีนมากขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไป
หากถามว่า "จีนยังเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดีหรือไม่" เมือเทียบกับคู่แข่งอย่างสหรัฐฯก็ ต้องบอกว่า "มีแน่นอนครับ"
จากข้อมูลของ World Bank จีนเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองลงมาจากสหรัฐฯ และคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเร็วกว่าสหรัฐฯ โดยรัฐบาลได้มีการตั้งเป้าการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ราว 5% ซึ่งสูงสหรัฐฯ ที่ทาง Reuter ได้คาดการณ์การว่าจะเติบโต 1.2% สำหรับปีหน้า
อย่าลืมว่า ประเทศจีนมีประชากรมากกว่า 1.4 พันล้านคน เป็นฐานลูกค้าที่มีศักยภาพมากมายสำหรับธุรกิจและนักลงทุน รายได้ Disposable income ที่เพิ่มขึ้นและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังสร้างความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการที่มากขึ้นภายในประเทศควบกับชนชั้นกลางของจีนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดกลุ่มผู้บริโภคที่ใหญ่และร่ำรวยและมีกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
จีนกำลังลงทุนมหาศาลในด้านการวิจัยและพัฒนา โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งจะสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนในภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และพลังงานสะอาด
ที่สำคัญ Valuation ของตลาดจีนตอนนี้ถือว่าถูกมาก หุ้นที่ดีแต่โดนกดดันด้วยปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและรัฐบาลจะยังสามารถเติบโตได้ หากในอนาคตได้รับการสนับสนุนหรือมีนโยบายเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โบรกต่างๆ ในประเทศไทยมีบางส่วนให้คงจีนไว้ที่ Overweight หรือให้ลงทุนจีนเพิ่มในปี 2567 และกองทุนใหญ่อย่าง Blackrock ก็มีการคงจีนไว้ที่ Neutral ไม่ปรับลดหรือปรับเพิ่ม
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่า หุ้นจีนก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ระดับหนึ่ง เพราะหลายๆ ตัวก็เหมือน ‘ยังลงไม่สุด’ แต่ว่าธุรกิจอาจจะเติบโตขึ้น ซึ่งถ้าใครมีแผนจะลงทุนระยะยาวอยู่แล้วก็อาจจะเริ่มทยอยลงทุนไปเรื่อยๆ ได้เนื่องจากค่าเงินหยวนอาจค่อยๆ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นตามสภาวะตลาดและ Fund flow ที่ไหลเข้า Emerging market เพิ่มขึ้นจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลง หากลงทุนในช่วงนี้ก็จะสามารถคว้าโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์จีนในราคาที่ถูกและได้เปรียบในด้านค่าเงินอีกด้วย
อีกหนึ่งประเทศที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ สำหรับตลาดที่น่าลงทุนยามวิกฤติเช่นนี้ ในปี 2565 ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมาระดับหนึ่ง และค่อยๆ กลับขึ้นมาในปีนี้อาจจะขึ้นๆ ลงๆ บ้างแต่โดยรวมแล้วถือว่าดี เหมือนที่ทุกคนทราบกันดีว่าศักยภาพของเวียดนามยังเติบโตได้ดีอยู่ นักลงทุนต่างชาติก็เรียกได้ว่าเดินแถวเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงงาน การผลิตชิป เพราะปัจจัยเรื่องค่าแรงที่ยังถูก และศักยภาพของคนที่มีความสามารถ
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของเวียดนามเติบโตกว่า 5.8% อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นอีกใน 2 ปีข้างหน้า โดย Fitch Ratings คาดการณ์การเติบโตที่ 6.3% ในปี 2567 และการเติบโต 7.0% ในปี 2568 และธนาคารอื่นๆอย่างเช่น Standard Chartered ยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ 6.7% และ IMF คาดการเติบโตของ GDP เวียดนามจะอยู่ที่ 5.8% ในปี 2567 และ 6.9% ในปี 2568 ซึ่งอัตราการเติบโตที่คาดการณ์ไว้สำหรับเวียดนามนั้นถือว่า อยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค ทำให้เวียดนามยังน่าสนใจในแง่การลงทุนระยะยาว
เรียกว่า "เวียดนาม" กำลังเตรียมพร้อมเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่หรือตลาดหุ้นกำลังพัฒนา แสดงว่ามีโอกาสที่ในอนาคตเงินจะไหลเข้ามาในตลาดหุ้นเยอะขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่เป็นประเทศที่เรายังไม่สามารถลงทุนได้เต็มที่ แต่ถ้ามองในภาพรวม การเติบโตต่างๆ ก็ดูสมเหตุสมผล แต่ไม่ได้ดูราคาถูกมากเมื่อเทียบกับหุ้นจีน
อีกประเด็นที่น่าจับตา คือ ร่วมมือครั้งใหญ่ระหว่างเวียดนาม-จีน ผ่านการลงนามข้อตกลงและบันทึกความเข้าใจ (MOU) 36 ฉบับ ครอบคลุมหลากหลายด้าน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางรถไฟ การค้าและการลงทุน ความมั่นคงและการทหาร ไปจนถึงความร่วมมือด้านดิจิทัล ข้อมูล และโทรคมนาคม
นอกจากนี้ ทั้งสองยังมีแผนพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน
การลงนามข้อตกลงครั้งนี้สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างเวียดนามและจีน โดยทั้งสองประเทศต่างมุ่งเน้นความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และความมั่นคงในภูมิภาค
และหากคุณเชื่อเรื่องเทคโนโลยีจะเป็นกุญแจสู่โลกอนาคต ก็ต้องบอกว่าเวียดนามนี่แหละที่จะเป็นประตูสู่โลกอนาคต หลังบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งตบเท้าเข้ามาตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม ปีที่ผ่านมาข่าวดังอย่าง Apple ที่เข้ามาแล้ว ล่าสุดมีข่าวว่า Nvidia ผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้เวียดนามขึ้นแท่นเป็นฐานการผลิตแห่งที่ 2 ด้วยเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด