ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของกำไรในครั้งนี้ คือ ธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะโครงการ GPD และ HKP ซึ่งได้ทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา นอกจากนี้ GULF ยังได้รับส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่ม GJP เพิ่มขึ้น 11% เป็น 643 ล้านบาท จากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า SPP บางส่วนในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 2/2567 ธุรกิจพลังงานหมุนเวียนของ GULF เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul ซึ่งมีส่วนแบ่งกำไร core profit เพิ่มขึ้น 23% หรือ 182 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากความเร็วลมเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นเป็น 5.5 เมตร/วินาที จาก 5.2 เมตร/วินาที ในไตรมาส 2/2566 นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล GCG ยังมีกำไรเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเพิ่มขึ้น 40% หรือ 51 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 ทั้งนี้เป็นผลมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาไม้เฉลี่ยที่ลดลงเหลือ 680 บาท/ตัน จาก 833 บาท/ตัน ในไตรมาส 2/2566 แม้ว่าราคาค่า Ft ขายส่งเฉลี่ยจะลดลงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/2567 โครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ประสบกับกำไรที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจาก load factor เฉลี่ยที่ลดลงจาก 92% เหลือ 84% ในไตรมาสนี้ เนื่องจากมีการหยุดซ่อมบำรุง (CI-inspection) ตามแผนงานในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP ก็มีกำไรลดลงเช่นกัน โดยเป็นผลมาจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงทั้งในส่วนของ กฟผ. และลูกค้าอุตสาหกรรม สาเหตุสำคัญมาจากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ (C-inspection) ตามแผนงานของโรงไฟฟ้า SPP จำนวน 2 โครงการในไตรมาส 2/2567
สำหรับธุรกิจก๊าซ ในไตรมาส 2/2567 GULF มีผลประกอบการที่โดดเด่น โดยรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากโครงการ PTT NGD สูงถึง 382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 256% เมื่อเทียบกับ 107 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตนี้มาจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 412.5 บาท/ล้านบีทียู เหลือเพียง 341.5 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้ ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันเตาซึ่งเป็นตัวกำหนดราคาขายหลักของโครงการ PTT NGD กลับปรับตัวสูงขึ้นจาก 70.0 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เป็น 81.6 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
นอกจากนี้ GULF ยังได้รับประโยชน์จากการลงทุนใน INTUCH โดยในไตรมาส 2/2567 มีส่วนแบ่งกำไร core profit เพิ่มขึ้น 20% หรือ 1,621 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 1,352 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2566 การเติบโตนี้เป็นผลมาจากผลประกอบการของ AIS ที่แข็งแกร่งขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้นควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
GULF กำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายต่างๆ (EBITDA) จำนวน 10,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ บริษัทยังมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่จำนวน 4,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ ได้บันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี ผลกระทบดังกล่าวเป็นเพียงรายการทางบัญชีเท่านั้น และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดหรือผลประกอบการที่แท้จริงของ GULF แต่อย่างใด
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 481,852 ล้านบาท หนี้สินรวม 337,974 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 143,877 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.85 เท่า ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 1.70 เท่า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2567 การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนนี้เป็นผลมาจากการออกหุ้นกู้ในเดือนเมษายน 2567 และการเบิกเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งส่งผลให้จำนวนหนี้สินระยะยาวเพิ่มขึ้น
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงมั่นใจในการเติบโตของรายได้รวมในปี 2567 ที่ประมาณ 25-30% ตามแผนที่วางไว้ โดยโครงการต่างๆ กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 GULF มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 ขนาด 662.5 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 ตุลาคม นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินและแบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงานรวม 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม
สำหรับธุรกิจ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะสามารถทำสัญญาได้ไม่ต่ำกว่า 270 เมกะวัตต์ และจ่ายไฟฟ้าให้ลูกค้าได้ไม่ต่ำกว่า 180 เมกะวัตต์ ภายในสิ้นปีนี้ โดยตั้งเป้าขยายกำลังการผลิต solar rooftop ให้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 ในส่วนของธุรกิจก๊าซ บริษัทร่วมทุน HKH ได้นำเข้า LNG แล้ว 6 ลำ รวม 400,000 ตัน เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 1 และมีแผนนำเข้าเพิ่มเติมอีก 200,000 ตัน ในช่วงเวลาที่เหลือของปี ด้วยปัจจัยสนับสนุนเหล่านี้ GULF เชื่อมั่นว่ารายได้ในปี 2567 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับโครงการอื่น ๆ ของบริษัทฯ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนายังเป็นไปตามแผน โดยโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเฟส 3 มีกำหนดถมทะเลแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 และจะเริ่มก่อสร้าง LNG terminal ในช่วงกลางปี 2568 ในขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มีกำหนดรับมอบพื้นที่จากการท่าเรือเพื่อเริ่มก่อสร้างท่าเรือในปลายปี 2568
สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2568 ส่วนสายบางปะอิน-นครราชสีมา (M6) มีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2569 ในด้านธุรกิจดิจิทัล ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของกลุ่มบริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยเฟสแรกขนาด 25 เมกะวัตต์ มีแผนเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 และมีแผนขยายเพิ่มอีก 25 เมกะวัตต์ ในเฟสที่ 2 ภายในพื้นที่เดียวกัน รวมเป็น 50 เมกะวัตต์ โดย GSA DC จะเน้นการใช้พลังงานสะอาด และออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน GPU ในการประมวลผลข้อมูล (cloud computing) เพื่อตอบสนองความต้องการขององค์กรธุรกิจที่กำลังมุ่งสู่ digital transformation ด้วยการใช้งาน big data, IoT และ AI ซึ่ง workload ของ AI จำเป็นต้องใช้ GPU ในการประมวลผลข้อมูลที่ต้องใช้พลังงานมหาศาล และใช้ระบบ liquid cooling ในการระบายความร้อน โดยกลุ่มลูกค้าหลักของ GSA DC จะเป็นกลุ่ม hyperscalers, enterprise และหน่วยงานรัฐบาล
นอกจากนี้ ธุรกิจ cloud ที่ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนเปิดให้บริการในช่วงกลางปี 2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นองค์กรที่ต้องการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่มีความสำคัญหรือเป็นความลับ ซึ่งผู้ใช้งาน Google Cloud สามารถเลือกจัดเก็บข้อมูลที่ศูนย์ข้อมูล GSA DC ของบริษัทฯ ได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสในการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่นๆ ในอนาคต เช่น AI และ cybersecurity สำหรับเรื่องการควบรวบริษัทระหว่าง GULF และ INTUCH นั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2568”
GULF มุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยผ่านโครงการต่างๆ ที่เข้าถึงชุมชนใน 40 จังหวัดทั่วประเทศ หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือ "พลังงานสะอาดเชื่อมเครือข่ายเพื่อคนไทย" ซึ่ง GULF ร่วมมือกับ AIS ในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และระบบสื่อสารจากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ในพื้นที่ห่างไกลที่ขาดแคลนทั้งไฟฟ้าและการสื่อสาร โดยตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการใน 30 พื้นที่ภายใน 5 ปี เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนให้กับชุมชน