คดี STARK ยังไม่จบ! ก.ล.ต. ล่าสุดกล่าวโทษผู้บริหาร 5 ราย ฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จซ้ำเติมคดีโกงบัญชี พบหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทจงใจบิดเบือนข้อมูลสำคัญต่อนักลงทุนและประชาชน งานนี้ ก.ล.ต. เอาจริง ส่งเรื่องให้ DSI สอบสวน พร้อมแจ้ง ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ดำเนินการกล่าวโทษผู้กระทำความผิดจำนวน 5 ราย ประกอบด้วย:
โดยทั้งหมดถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง เกี่ยวกับสถานะทางการเงินและผลประกอบการของบริษัท STARK การดำเนินการครั้งนี้ ก.ล.ต. ได้ส่งเรื่องต่อไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และได้รายงานความคืบหน้าให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ทราบแล้ว
คดี STARK ยังไม่จบ! ก.ล.ต. ล่าสุดกล่าวโทษผู้บริหาร 5 ราย ฐานเผยแพร่ข้อมูลเท็จซ้ำเติมคดีโกงบัญชี พบหลักฐานชัดเจนว่าบริษัทจงใจบิดเบือนข้อมูลสำคัญต่อนักลงทุนและประชาชน งานนี้ ก.ล.ต. เอาจริง ส่งเรื่องให้ DSI สอบสวน พร้อมแจ้ง ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน
ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า STARK ได้เปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาท และแผนการซื้อหุ้นคืน ในช่วงวันที่ 13 ธันวาคม 2565 ถึง 30 มกราคม 2566
ความจริงแล้ว ในขณะนั้น STARK ได้ใช้เงินเพิ่มทุน PP จนหมดแล้ว และไม่มีทั้งกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอที่จะดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนตามที่ได้แจ้งไว้ การเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนและนักลงทุนเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและผลประกอบการของบริษัท
ในช่วงเวลานั้น นายชนินทร์ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท นายศรัทธาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน เลขานุการ และกรรมการบริษัท นายวนรัตน์ดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท และนายประกรณ์ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริษัท ทั้งสี่ท่านนี้เคยถูก ก.ล.ต. กล่าวโทษในกรณีตกแต่งบัญชีของ STARK ปี 2565* จึงย่อมทราบดีว่า STARK ไม่มีกำไรสะสมและสภาพคล่องเพียงพอสำหรับโครงการซื้อหุ้นคืน นอกจากนี้ นายชนินทร์และนายศรัทธายังทราบว่าเงินเพิ่มทุน PP จำนวน 5,580 ล้านบาทถูกใช้ไปจนหมดแล้ว ทั้งสี่คนมีส่วนร่วมในการดำเนินการเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จของ STARK ครั้งนี้
การกระทำของ STARK ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 240 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 296 วรรคหนึ่ง ของกฎหมายฉบับเดียวกัน
นายชนินทร์, นายศรัทธา, นายวนรัชต์ และนายประกรณ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานของ STARK ซึ่งได้สั่งการหรือกระทำการ หรือละเลยไม่สั่งการหรือไม่กระทำการที่เป็นหน้าที่ จนเป็นเหตุให้ STARK กระทำความผิดดังกล่าว จึงอาจต้องรับโทษเช่นเดียวกันตามมาตรา 300 ประกอบมาตรา 240 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
ด้วยเหตุนี้ ก.ล.ต. จึงได้กล่าวโทษทั้งบริษัท STARK และบุคคลทั้ง 5 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังได้แจ้งเรื่องการดำเนินคดีนี้ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เนื่องจากเป็นความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ก.ล.ต. ย้ำ การกล่าวโทษเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการยุติธรรม
การกล่าวโทษของ ก.ล.ต. เป็นเพียงขั้นตอนแรกของกระบวนการบังคับใช้กฎหมายอาญาเท่านั้น กระบวนการยุติธรรมยังต้องดำเนินต่อไป โดยมีการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาตัดสินคดีของศาลยุติธรรม ซึ่งจะเป็นผู้ชี้ขาดว่าบุคคลใดมีความผิดตามกฎหมาย
ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าของคดีนี้อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการ และโฆษก ก.ล.ต. กล่าวว่า "การกล่าวโทษในครั้งนี้เป็นการขยายผลการตรวจสอบเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิดเพิ่มเติม จากที่ ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษบุคคลที่มีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องกับกรณีตกแต่งงบการเงินปี 2565 ของ STARK ก.ล.ต. ขอยืนยันว่าจะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตามอำนาจหน้าที่อย่างเคร่งครัด และจะประสานความร่วมมือและติดตามความคืบหน้ากับ DSI และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง"
สรุปคดี STARK ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องจับตาต่อไป ก.ล.ต. แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือผู้บริหารระดับสูง การดำเนินการนี้นับเป็นการส่งสัญญาณเตือนไปยังตลาดทุนไทยว่า ก.ล.ต. จะไม่ยอมให้มีการละเมิดกฎหมาย และจะใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่เพื่อคุ้มครองนักลงทุนและรักษาความน่าเชื่อถือของตลาดทุน