ตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายวันนี้ (4 ม.ค.) เป็นวันแรกของปี 2565 ดัชนี SET Index เปิดตลาด อยู่ที่ระดับ 1,664.78 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 7.16 จุด หรือบวก 0.43%
โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ดัชนี SET Index ปี 2564 ปิดการซื้อขายอยู่ที่ 1,657.62 จุด เพิ่มขึ้น 14.37% จากสิ้นปี 2563 ขณะที่ดัชนี SET50 ปิดสิ้นปี 64 อยู่ที่ 990.75 จุด เพิ่มขึ้น 8.82% จากสิ้นปี 63 ที่ 910.45 จุด ส่วนดัชนี mai ปิดสิ้นปี 2564 ที่ 582.13 จุด เพิ่มขึ้น 73.10% จากสิ้นปี 2563 ที่ 336.29 จุด
สำหรับในปี 2564 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 93,845.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.79% จากปี 63 มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 68,606.91 ล้านบาท โดยมีจำนวนลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ในปี 2564 อยู่ที่ 2,129,035 ราย จากปี 2563 ที่มี 1,506,068 ราย
มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) SET+mai ในปี 2564 อยู่ที่ 20,055,076.66 ล้านบาท เติบโต 22.72% จากปี 2563 ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 16,342,662.95 ล้านบาท
โดยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ SET ในปี 2564 อยู่ที่ 19,583,094.79 ล้านบาท เติบโต 21.58% จากปี 2563 ที่มี มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 16,107,632.55 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ mai ปี 2564 อยู่ที่ 471,981.87 ล้านบาท เติบโต 100.82% จากปี 63 ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่ 235,030.40 ล้านบาท
ส่วนตลาดซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) ในปี 64 มีปริมาณการซื้อขายที่ 135,117,308 สัญญา เพิ่มขึ้น 12.42% จากปี 2563 ที่มี 120,193,573 สัญญา โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 560,653 สัญญา เพิ่มขึ้น 13.35% จากปี 2563 ที่มี 494,624 สัญญา ขณะที่มีสถานะคงค้าง สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3,763,547 สัญญาเพิ่มขึ้น 71.46% จากสิ้นปี 2563 ที่มีสถานะคงค้าง 2,194,994 สัญญา
สรุปมุมมองการลงทุนปี 2565
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในช่วง 4-5 เดือนแรก จากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่ได้ผลดีจากการเปิดเมือง (re-opening boom) ส่งผลให้ GDP ปี 2565 เติบโตขึ้นกว่าปี 2564 (ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีกว่าประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ที่การเติบโตเศรษฐกิจในปี 2565 จะเริ่มชะลอตัวลง) ทำให้เราประเมินอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีโอกาสได้รับจัดสรรเงินลงทุน (allocation) หรือน้ำหนักการลงทุน (weighting) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นบวกต่อทิศทางเงินทุนไหลเข้า (Fund flow) ในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้ ขณะที่การบริโภคคาดจะเห็นการฟื้นตัวต่อเนื่อง
ทั้งนี้ประเมินเป้าหมาย SET Index ปีนี้ที่ 1,820 จุด อ้างอิง PER 18.5x และมีกำไรต่อหุ้น(EPS) ปี 2565 ที่ 98.4 บาทต่อหุ้น ขณะที่ประเมินกรอบแนวต้านสำคัญของ SET ในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ 1,740 จุด อิง PER 18.5x และ EPS เฉลี่ยปี 2564-2565 ที่ 94 บาท/หุ้น
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีวันนี้ประเมินแนวรับ: 1,640 จุด ส่วนแนวต้าน : 1,660-1,680 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%
ขณะที่ความผันผวนช่วงต้นปี เป็นโอกาสลงทุนมองว่ามี 3 ปัจจัยที่อาจทำให้ตลาดช่วงต้นเดือนม.ค. 2565 ผันผวน แต่น่าจะเปิดโอกาสในการเข้าลงทุนที่ดี ได้แก่ 1) การระบาดของสายพันธ์โอไมครอนที่อาจทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้น 2) การไถ่ถอน LTF ที่ครอบกำหนด 7 ปี ราว 1.5-2 หมื่นล้านบาท และ 3) ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไตรมาส 4/2564 ที่ถือว่าอ่อนแอที่สุดของปี (แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีในไตรมาส 1/2565) เรามองปัจจัยข้างต้นเป็นปัจจัยผันผวนระยะสั้น แต่ไม่กระทบกับมุมมองเชิงบวกของการลงทุน ดังนั้นความผันผวนที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสลงทุน
อย่างไรก็ดีมีความท้าทายและโอกาสในครึ่งปีหลังของปีนี้มีการสิ้นสุดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินของธนาคารกลางยุโรปและสหรัฐ ในช่วงไตรมาส 2/2565 รวมถึงการดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ และความต้องการเงินทุนเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐ เป็นความเสี่ยงที่มีโอกาสกดดันให้ค่าเงินสหรัฐ แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังนี้
โดยมีความเสี่ยงที่ต้องจับตาอื่น ได้แก่ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนและชาติมหาอำนาจอื่น สำหรับประเทศไทยประเด็นจับตาโอกาสในครึ่งปีหลังมาจาก 1) การย้ายฐานการผลิตจากจีน 2) การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการที่ได้รับแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวและการเปิดประเทศหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
ด้านธีมการลงทุนปี 2565 การฟื้นตัวเปลี่ยนจากการผลิต มายังภาคบริการ ซึ่งหนุนการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ เป็นบวกต่อหุ้นธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร ค้าปลีก บันเทิง โดยมีหุ้นเด่นคือ KBANK, CPN, ADVANC, ONEE, WHA, BANPU, OR
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปี 2565 ไว้ที่ระดับ 1,850 จุด พร้อมคาดว่ากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตขึ้น 15% เพราะประเมินว่าทั้งปี 2565 จะมีปัจจัยบวกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทาวเข้ามาประเทศไทยจำนวนประมาณ 7 ล้านคน จากปี 2564 ที่มี 3 แสนคน
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก รวมทั้งไทยซึ่งคาดว่า GDP จะเติบโตราว 4% และมีมาตรการกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการจับจ่ายใช้สอยผ่านนโยบายช้อปดีมีคืน ในช่วงเดือนและโครงการคนละครึ่งเฟส 4 ช่วงเดือนมีนาคมหรือเมษายน ปี 2565 ถือเป็นปัจจัยบวกสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางขาขึ้นได้
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ประเมินภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2565 ว่า ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยประเมินเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,720 จุด มีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่น่าจะขยายตัวได้ดีจากฐานในปีก่อนที่ต่ำ และยังได้อานิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกด้วย
รวมทั้งในปีหน้าคาดว่าภาครัฐจะเร่งกระตุ้นการลงทุนมากขึ้น และการส่งสัญญาณการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของไทย ทั้งสนามการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครที่คึกคักอย่างมาก และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในโอกาสถัดไป จะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้น ประกอบกับรัฐบาลยังคงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและกำลังซื้อผ่านโครงการต่างๆ เช่น ช้อปดีมีคืน, คนละครึ่งเฟส 4 ก็จะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น