การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นที่น่าจับตามองสำหรับนักลงทุนทั่วโลก แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายจากภัยธรรมชาติ แต่ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ประกอบกับแรงขับเคลื่อนจากการส่งออก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค จึงทำให้เวียดนามยังคงเป็นดาวเด่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) และ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ซึ่งได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดทุนของเวียดนาม โดยอ้างอิงจาก “Know The Markets” เอกสารประกอบการลงทุนชั้นนำระดับโลก เพื่อช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงปัจจัยบวกที่สำคัญ และสามารถตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หุ้นเวียดนามทำไมยังคงน่าลงทุน บลจ. กสิกรไทย ชี้ปัจจัยบวก GDP ซึ่งยังขยายตัวต่อเนื่อง
แม้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามจะได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายในพื้นที่ภาคเหนือ ทว่ามิได้ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศชะงักงัน โดยปรากฏชัดจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2567
ในไตรมาสแรก GDP ของเวียดนามเติบโตที่ 5.87% ขณะที่ไตรมาสที่สอง อัตราการเติบโตอยู่ที่ 7.09% และแม้จะเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในไตรมาสที่สาม แต่ GDP ก็ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 7.4% ซึ่งนับเป็นอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงสุดในรอบ 2 ปี และสูงกว่าค่าเฉลี่ยจากการสำรวจของ Bloomberg ที่ 6.1% สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนาม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทาย
เวียดนามตั้งเป้า GDP โตสูงกว่าคาดการณ์ IMF-ADB ทะลุ 7%
หากพิจารณาถึงตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามในปี 2567 พบว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารพัฒนาเอเชีย ได้ประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ไว้ที่ 6.1% และ 6.0% ตามลำดับ อย่างไรก็ดี รัฐบาลเวียดนามได้กำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้สูงกว่าที่ 6.8% - 7.0% ซึ่งสูงกว่ากรอบเป้าหมายที่สมัชชาแห่งชาติเวียดนาม (NA) ได้ให้ความเห็นชอบไว้ที่ 6.0% - 6.5%
แม้ว่าพายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนามในเดือนกันยายน อาจเป็นปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น ทว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และศักยภาพในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็ว ประกอบกับปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ ส่งผลให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
"Know The Markets" เผยปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจเวียดนามโตต่อเนื่อง
เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) และ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดทุนของเวียดนาม โดยอ้างอิงข้อมูลจาก “Know The Markets” ซึ่งเป็นเอกสารประกอบการลงทุนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล บทวิเคราะห์ดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยบวกที่สำคัญหลายประการ อันจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย
- การขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรม: ข้อมูลสถิติ ณ เดือนกันยายน 2567 บ่งชี้ว่ามูลค่าการส่งออกของเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตรา 10.8% สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง
- กระแสเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง: ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เวียดนามมีปริมาณเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของเวียดนาม
- อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับควบคุมได้และเสถียรภาพของค่าเงิน: รายงานจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนามระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ณ เดือนกันยายน 2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.63% ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยสอดคล้องกับการขยายตัวของยอดค้าปลีกที่ 7.6% บ่งชี้ถึงกำลังซื้อภายในประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ในการประชุมครั้งล่าสุด ยังส่งผลบวกต่อเสถียรภาพของค่าเงินดองเวียดนามอีกด้วย
บลจ. กสิกรไทย-JPMAM ชี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าลงทุน แม้เผชิญปัจจัยลบระยะสั้น
แม้ว่าเวียดนามจะประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ พายุไต้ฝุ่นยางิ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทว่ามิได้ส่งผลให้เศรษฐกิจเวียดนามชะงักงัน โดยภาพรวมเศรษฐกิจเวียดนามยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว สืบเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนเชิงบวก ดังต่อไปนี้
- การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง: อัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 ซึ่งสูงถึง 7.4% สะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง และศักยภาพในการฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ได้อย่างรวดเร็ว โดยรัฐบาลเวียดนามยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ 6.8% - 7.0% แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของประเทศ
- การขยายตัวของภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรม: อัตราการเติบโตของภาคการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมที่ 10.7% และ 10.8% ตามลำดับ บ่งชี้ถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง: การเพิ่มขึ้นของ FDI สะท้อนถึงความไว้วางใจของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเวียดนาม ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของภาคธุรกิจและการจ้างงานในระยะยาว
- เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค: อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ประกอบกับเสถียรภาพของค่าเงินดอง ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน และเอื้ออำนวยต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) และ J.P. Morgan Asset Management (JPMAM) จึงมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหลักทรัพย์เวียดนามในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิต ภาคการจ้างงาน และภาคเทคโนโลยี ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง และสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ของโลก
อนึ่ง แม้เวียดนามจะต้องเผชิญกับปัจจัยลบระยะสั้น เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แต่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว ทำให้ตลาดหลักทรัพย์เวียดนามยังคงเป็นโอกาสอันควรค่าแก่การพิจารณาสำหรับนักลงทุน บลจ. กสิกรไทย จึงแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามและทยอยสะสมหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งสู่ผลตอบแทนที่ยั่งยืนในอนาคต
อ้างอิง KAsset