ดัชนีตลาดหุ้นไทยระหว่างการซื้อขายภาคเช้าปรับตัวลดลงทำจุดต่ำสุดที่ 1,667.31 จุด ลดลง 29.14 จุดจากวันก่อนหน้า โดยดัชนีฯ ปิดการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,669.44 จุด ลดลง 27.01 จุด ติดลบ 1.59% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 75,050.40 ล้านบาท
โดยเป็นปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคตอบรับความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเป็นปัจจัยหลัก หลังจากรัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหาร ขณะที่ยูเครนประกาศภาวะฉุกเฉิน ทำให้สินทร้พย์เสี่ยงถูกเทขาย
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นในภูมิภาคตอบรับความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเป็นปัจจัยหลัก หลังจากรัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหาร ขณะที่ยูเครนประกาศภาวะฉุกเฉิน ทำให้สินทร้พย์เสี่ยงถูกเทขาย และราคาน้ำมันเร่งตัวขึ้นเหนือ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สำหรับส่วนสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในประเทศวันนี้ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทำสถิติสูงสุด แต่ไม่ใด้เป็นปัจจัยกดดันตลาดมากนัก เพราะรัฐไม่ได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ และอาการผู้ป่วยโอมิครอนไม่ได้รุนแรง
ขณะที่แนวโน้มในช่วงบ่าย คาดว่าตลาดน่าจะยังลบคล้ายช่วงเช้า ให้แนวรับแรกที่ 1,670 จุด แนวรับถัด 1,660 จุด ส่วนแนวต้าน 1,680 จุด แนะติดตามสถานการณ์รัสเซียและยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยหุ้นที่เล่นได้ คือ กลุ่มพลังงาน กลุ่ม Domestic Play เช่น ค้าปลีก โรงพยาบาล และหุ้นปันผลดี
ทั้งนี้ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อ โควิด-19 วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 รวม 23,557 รายทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งยังไม่นับรวมการตรวจจาก ATK มีตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันอยู่ที่ 38 ราย
บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุว่า ประเด็นยูเครนยังคงมีน้ำหนักกดดันภาพรวมการลงทุน สถานการณ์ยูเครนยังสร้างแรงกดดันต่อหุ้นโลก ล่าสุดเมืองที่แยกตัวเป็นอิสระทั้ง 2 แห่ง ทั้ง Donetsk และ Luhansk ขอความช่วยเหลือทางทหารมายังรัสเซีย ทำให้นักลงทุนจับตาการใช้กำลังการทหารที่อาจจะเกิดขึ้นและยกระดับความขัดแย้งของปัญหาขึ้นไปอีกขั้น ทั้งนี้ผลกระทบข้างเคียงที่เริ่มเห็นได้ คือการขยับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายๆตัว ทั้งโลหะ และอาหาร ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสถานการณ์เงินเฟ้อได้
ขณะที่จีนแสดงความไม่เห็นด้วยต่อมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย และมองว่าการขยายของสมาชิกนาโต ทำให้ประธานาธิปดีปูตินมีทางเลือกน้อยในการตัดสินใจ โดยมองผลกระทบของความกังวลต่อภาพรวมการลงทุนอาจจะเริ่มส่งผลต่อตลาดน้อยลง แต่ตลาดจะเริ่มมองหาหุ้นที่ได้รับผลกระทบทั้งทางบวกและลบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งมองกลุ่มอาหารมีโอกาสเคลื่อนไหวเป็นบวกจาก food inflation ที่เกิดขึ้น และจากการเป็นกลุ่มที่นักลงทุนลดน้ำหนักมานาน