เมื่อเช้ามืดวันนี้ (20 มี.ค.) เกิดดีลประวัติศาสตร์ขึ้นในภาคการธนาคารขึ้น เมื่อ UBS ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ ตกลงจ่ายเงิน 3 พันล้านฟรังก์สวิส/ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1 แสนล้านบาท เพื่ออุ้มคู่แข่งอย่าง ‘เครดิตสวิส’ (Credit Suisse) ที่กำลังเจอปัญหาสภาพคล่องอย่างหนักจนใกล้จะล้มละลาย
เกิดอะไรขึ้น? ทำไม UBS จึงต้องออกเงินเพื่ออุ้มคู่แข่งที่กำลังจะล้ม? และดีลนี้สำคัญต่อระบบการเงินของโลกอย่างไร? ทีมข่าว Spotlight สรุปมาให้อ่านกัน
ถ้าใครตามข่าวด้านการเงินในช่วงนี้ จะรู้ดีกว่าวงการธนาคารในโลกตอนนี้กำลังปั่นป่วนอย่างหนัก จากการล้มละลายของ 3 ธนาคารในสหรัฐฯ มาจนถึง ปัญหาของ ‘เครดิตสวิส’ ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ประสบปัญหาทางการเงินเรื้อรังหนักมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2021 และง่อนแง่นใกล้จะล้มในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้
โดยถึงแม้ ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ที่ทำให้หุ้นของเครดิตสวิสดิ่งลงเหว (มากกว่า 75% จากช่วงเดียวในปีก่อนหน้า) จนทำให้เกิดปํญหาสภาพคล่องในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเป็น ‘การที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่าง Saudi National Bank ประกาศไม่ซื้อหุ้นและอัดฉีดเงินทุนให้เครดิตสวิสต่อ’ นี่ก็เป็นเพียง ‘ยอดภูเขาน้ำแข็ง’ เท่านั้น เพราะเครดิตประสบปัญหามานานแล้ว โดยเหตุการณ์คร่าวๆ ที่ทำให้นักลงทุนสูญความมั่นใจในการบริหารจัดการของเครดิตสวิสมีดังนี้
โดยจากข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่า สถานะการเงินของเครดิตสวิสเรียกได้ว่าอยู่ในขั้นเลวร้าย ซึ่งถือเป็นความตกต่ำขนาดหนัก เพราะเครดิตสวิสเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ ปิดทำการมายาวนานถึง 167 ปี เคยมีทรัพย์สินในการดูแลก่อนเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี 2008 มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34 ล้านล้านบาท (ตอนนี้เหลือเพียง 5.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 19 ล้านล้านบาท)
นอกจากนี้ เครดิตสวิสยังเป็น 1 ใน 30 'globally systemic banks (G-SIBs)' หรือ ธนาคารที่มีความสำคัญด้านระบบและโครงสร้างต่อสถาบันการเงินโลก มีสำนักงานทำการอยู่ใน 5 ประเทศทั่วโลก มีลูกค้าเป็นทั้งหน่วยงานรัฐบาล สถาบันการเงิน นักลงทุนสถาบัน กองทุนเฮดจ์ฟัน กองทุนบำเหน็จบำนาญ เศรษฐีความมั่งคั่งสูง รวมไปถึงธุรกิจที่มีความสำคัญทั่วโลก ซึ่งนี่รวมไปถึงเศรษฐีและ ‘บริษัทไทย’ โดยในปัจจุบัน “เครดิตสวิส” ถือหุ้นโดยตรงใน 9 บริษัทไทยด้วยกันคือ BANPU, BTS, KEX, KSL, NER, TMT, TRUE, TSE และ TWPC
ซึ่งเมื่อเห็นโครงข่ายโยงใยแบบนี้แล้ว จึงคิดภาพตามได้ไม่ยากว่าถ้าหากเครดิตสวิสล้มขึ้นมาจริงๆ ระบบการเงินรวมไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกต้องเกิดความวุ่นวายตามมามากมายแน่นอน และอาจทำให้ ‘UBS’ เองที่ตอนนี้เป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสวิสได้รับผลกระทบร้ายแรงไปด้วย
นี่จึงทำให้ ‘การที่ UBS เข้าไปอุ้มเครดิตสวิสในครั้งนี้ ถือเป็นการเซฟชีวิตตัวเองไปด้วย’ เพราะความใหญ่และความสำคัญของเครดิตสวิสทำให้มันเป็นธนาคาร “Too Big to Fail” หรือ ยักษ์ที่ใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้ม เพราะถ้าล้มทีนึงไม่ได้สะเทือนแค่ระบบการเงินในสวิสเท่านั้น แต่ยังส่งผลเป็นโดมิโนไปทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ธนาคารกลางสวิสยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้
จากการรายงานของสื่อต่างประเทศ UBS ตกลงเข้ามาอุ้มเครดิตสวิสหลังการเจรจายาวนานในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา (18-19 มี.ค.) โดยมีข่าวรายงานว่า UBS และเครดิตสวิสไม่เต็มใจที่จะควบรวมกันนัก เพราะทางฝั่ง UBS เองก็ไม่อยากจะรับภาระทางการเงินอย่างเครดิตสวิสมาใส่ตัว เครดิตสวิสที่เคยเป็นธนาคารใหญ่ก็ยอมรับเงินที่ UBS เสนอมาไม่ได้ เพราะราคา 3 พันล้านฟรังก์สวิสถือว่าต่ำมาก และต่ำกว่ามูลค่าตลาดในวันศุกร์ที่ 17 มี.ค. ซึ่งอยู่ที่ 7.4 พันล้านฟรังก์สวิสถึง 60%
อย่างไรก็ตาม หลังการเจรจา ในที่สุด UBS ก็ตกลงรับเครดิตสวิสมาดูแล ด้วยการซื้อหุ้นทั้งหมดของเครดิตสวิสมูลค่ารวม 3.2 พันล้านดอลลาร์ และยกเลิกหุ้นกู้มูลค่า 1.6 พันล้านฟรังก์สวิสทั้งหมด
นอกจากนี้ เพื่อจูงใจให้ UBS รับข้อเสนอ รัฐบาลสวิสยังเข้ามาให้เงินประกันความสูญเสียแก่ USB มูลค่า 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.27 แสนล้านบาท ในขณะที่ธนาคารกลางสวิสเข้ามาให้เงินช่วยเหลืออีก 1.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.7 หมื่นล้านบาท
ตามแถลงการณ์ของเครดิตสวิส ทั้งสองธนาคารคาดว่าดีลนี้จะดำเนินการแล้วเสร็จในปลายปีนี้ และ Colm Kelleher ประธานของ UBS และ Ralph Hamers ซีอีโอของ UBS จะทำหน้าที่เป็นซีอีโอของธนาคารหลังการควบรวม และทีมบริหารของเครดิตสวิสจะอยู่ทำหน้าที่ต่อจนกว่าการควบรวมจะแล้วเสร็จ
นอกจากนี้ UBS ยังมีแผนที่จะลดขนาดของธุรกิจวาณิชธนกิจ (investment bank) ของเครดิตสวิสลงเพื่อลดความเสี่ยง และอาจจะมีการเลย์ออกพนักงานครั้งใหญ่เพื่อลดต้นทุน โดยถึงแม้ UBS จะยังไม่เปิดเผยว่าจะเลย์ออฟเท่าไหร่ แต่ UBS ตั้งเป้าจะลดต้นทุนให้มากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2027
การควบรวมนี้จะทำให้ UBS มีสินทรัพย์ลูกค้าในความดูแลมากถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถของ UBS ในการขยายธุรกิจไปยังประเทศในทวีปอเมริกาและเอเชีย
ที่มา: CNN, Reuters, BBC, Quartz, Financial Stability Board, Bloomberg