การกลับเข้ามาดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับนโยบายทางเศรษฐกิจที่เข้มงวด โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศและลดการขาดดุลทางการค้า
ภายในระยะเวลาเพียง 43 วันแรกของการดำรงตำแหน่ง ทรัมป์ได้ออกมาตรการภาษีที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะเม็กซิโก แคนาดา จีน และสหภาพยุโรป ซึ่ง IMF เคยออกมาประเมินก่อนหน้านี้ว่า นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าประเทศต่างๆของทรัมป์จะส่งผลให้ผลผลิตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ลดลง 0.8% และในปี 2026 ลดลง 1.3%
SPOTLIGHT สรุปไทม์ไลน์การขึ้นภาษีนำเข้าตามนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วบ้างในช่วง 43 วันของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯและกำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปจากนี้
Timeline การขึ้นภาษีนำเข้าตามนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์
สิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ คือ การประกาศขึ้นภาษีโดยได้ขยายมาตรการภาษีไปยังอุตสาหกรรมหลักดังนี้
การประกาศมาตรการภาษีระลอกสองเมื่อสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ทรัมป์ได้ประกาศเดินหน้ามาตรการภาษีเพิ่มเติมดังนี้
และเมื่อเข้าสู่เดือน มีนาคม นี่คือช่วงเวลาที่คำประกาศขึ้นภาษีกับประเทศต่างๆจะเริ่มมีผลบังคับใช้ และส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ การลงทุนทั่วโลกต่างกังวลกับสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0
นโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์ในช่วง 43 วันแรก สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางที่แข็งกร้าวในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยมุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็นำไปสู่ความตึงเครียดทางการค้ากับหลายประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
จีนประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯเพิ่มเติมสูงสุด 15% กับสินค้าจากสหรัฐฯ ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม และจะจำกัดการส่งออกให้กับ 15 บริษัทสัญชาติอเมริกันด้วย
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลังจีน สินค้าที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง ส่วนบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออก ได้แก่ Leidos และ General Dynamics Land Systems ตามข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์จีน
มาตรการตอบโต้จากกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ของจีนมีขึ้นในขณะที่สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการขึ้นภาษีรอบใหม่กับสินค้าจีนแล้วในวันนี้
กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ ไม่เห็นด้วยอย่างหนักแน่นต่อการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และ ระบุว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ โดยจีนเตือนว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจะ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลวอชิงตันยกเลิกมาตรการนี้
การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนในครั้งนี้ของสหรัฐฯ ถือว่า เป็นการดำเนินการขึ้นภาษีรอบที่ 2 แล้วหลังจากขึ้นภาษีรอบแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 10% ทำให้ยอดรวมของภาษีที่ถูกเรียกเก็บภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนสูงถึง 20%
จากการประมาณการของ Ting Lu หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Nomura อัตราภาษีศุลกากรโดยเฉลี่ยที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าจีนจะเพิ่มขึ้นเป็น 33% จากเดิมที่อยู่ที่ 13% ก่อนที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งสมัยล่าสุดในเดือนมกราคม
รอบแรกจีนเองก็ได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าพลังงานบางประเภทจากสหรัฐฯ และขึ้นบัญชีดำบริษัทอเมริกันสองแห่งซึ่งอาจจำกัดความสามารถในการดำเนินธุรกิจในจีน
จากการวิเคราะห์ของ Allianz Research ในปี 2023 การส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ไปจีนคิดเป็นสัดส่วน 1.2% ของสินค้าส่งออกทั้งหมด หรือมีมูลค่า 22.3 พันล้านดอลลาร์ โดยสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ ถั่วเหลือง
สินค้าพลังงาน เช่น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อยู่ในอันดับสอง คิดเป็น 1% หรือมูลค่า 19.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ ยาและเวชภัณฑ์ อยู่ในอันดับสาม คิดเป็น 0.8% หรือมูลค่า 15.6 พันล้านดอลลาร์
ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, SPOTLIGHT รวบรวม , CNBC