เมื่อคืนที่ผ่านมา Netflix ได้รายงานรายได้ในไตรมาส 2/2567 อยู่ที่ประมาณ 9,559 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 346,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.76% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,147 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 77,780 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากถึง 44.35% และกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้น 48% เป็น 4.88 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อหุ้น
การเติบโตในไตรมาสนี้ สะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตของสมาชิกที่แข็งแกร่งและโมเมนตัมทางธุรกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากรายการโชว์ยอดนิยมอย่าง Baby Reindeer และ Bridgerton บนแพลตฟอร์ม ที่ช่วยยกระดับรายได้และยอดสมาชิกใหม่ และเพิ่มส่วนแบ่งการดูทีวีทั้งหมดของ Netflix ในสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 8% ในเดือนที่ผ่านมา มากกว่าบริการสตรีมมิ่งแบบชำระเงินอื่นๆ มากกว่าสองเท่า ตามข้อมูลของ Nielsen
ทั้งนี้ การให้บริการสตรีมมิ่ง Netflix มียอดสมาชิกเพิ่มขึ้นมากถึง 8 ล้านบัญชี ในไตรมาส 2/2567 โดยอัตราการสมัครสมาชิกในเอเชียแปซิฟิกเติบโตมากที่สุดกว่า 35% หรือเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบัญชี
ในขณะที่โซนยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับสอง เพิ่มขึ้น 2.24 ล้านบัญชีส่วนตลาดบ้านของ Netflix ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา มีสมาชิกสุทธิรวมกันเพียง 1.45 ล้านบัญชี และโซนละตินอเมริกาเพิ่มขึ้น 1.53 ล้านบัญชี
นอกจากนี้ แพคเกจสมาชิกแบบมีโฆษณายังเป็นตัวช่วยในการเติบโตด้วย หลังจากเพิ่มขึ้น 34% จากไตรมาสก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนแพคเกจสมาชิกล่าสุดคิดเป็น 45% ของการสมัครสมาชิกในตลาดที่มีให้บริการ ซึ่งบริษัทไม่ได้คาดหวังว่า จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของรายได้จนถึงปี 2567 หรือ 2568
ก่อนหน้านี้ Netflix เผยว่า อัตราการสมัครสมาชิกใหม่ในไตรมาสปัจจุบันจะลดลงกว่าปีที่แล้ว หลังจากนโยบายการห้ามแบ่งบัญซชีรหัสผ่านมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ และคาดว่าไม่อัตราการสมัครสมาชิกใหม่จะยังไม่ทำลายสถิติของยอดในไตรมาสที่ 2/2563 ที่ Netflix สามารถเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19
อย่างไรก็ตาม Netflix สามารถทำผลประกอบการได้ดี เมื่อเทียบกับบริการสตรีมมิ่งสตูดิโอรุ่นเก่าในตลาด ที่ประสบปัญหาและทำเงินได้ไม่มาก โดยในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น Netflix ชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าสตูดิโอเหล่านี้จะใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากกับเนื้อหาคุณภาพสูง แต่พวกเขาไม่ได้รับผู้ชมจำนวนมากบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง และทีวีแบบเดิมก็สูญเสียผู้ชมไปเช่นกัน
Greg Peters ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ Netflix กล่าวว่า สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งคือการเพิ่มขึ้นในธุรกิจโฆษณา ซึ่งดำเนินการโดยการจ้างพนักงานขายใหม่ และสร้างแพลตฟอร์มโฆษณาของตนเองเพื่อแทนที่ระบบ Microsoft ในปัจจุบัน ทำให้ปลดล็อกนวัตกรรม ทั้งชุด ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น และฟีเจอร์โฆษณาที่ดีขึ้นด้วย
ส่วนด้านเทคโนโลยี Peter เสริมว่า Netflix มีการใช้เทคโนโลยีที่ ‘คล้ายกับ AI’ เพื่อช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมกับผู้ใช้มากขึ้น โดยเสริมว่าเทคโนโลยี Generative AI ใหม่ สามารถปรับปรุงการค้นพบและคำแนะนำให้กับลูกค้าได้
นอกจากนี้ Netflix ได้เพิ่มการแข่งขันกีฬาแบบครั้งเดียวในโปรแกรม อย่างการแข่งขันกอล์ฟ การแข่งขันมวยที่มี Mike Tyson ที่กำลังจะเกิดขึ้น และเกมอเมริกันฟุตบอลสองเกมในช่วงคริสต์มาส ทำให้ Wall Street ตั้งข้อสังเกตว่า Netflix จะเซ็นสัญญากับลีกกีฬาหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Ted Sarandos ผู้บริหารระดับสูงร่วม มองว่า การมีโปรแกรมกีฬาเป็นสิ่งที่ยากมาก โดยเฉพาะการมีกีฬาลีกใหญ่ และทำกำไรทั้งฤดูกาล ส่วนเรื่อง Generative AI ต่อชุมชนสร้างสรรค์นั้น เขาบอกว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดา เนื่องจากผู้สร้างภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์จำนวนมากกำลังทดลองใช้ AI ในวันนี้ ซึ่งต้องดูว่ามันจะพัฒนาไปอย่างไร
โดยเขาทิ้งท้ายว่า “เราต้องมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของการเล่าเรื่อง”
ทั้งนี้ Netflix วางแผนที่จะหยุดรายงานจำนวนสมาชิกในปีหน้า ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนตีความว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเกี่ยวกับการเติบโตในอนาคต อย่างไรก็ตาม บริษัทที่มีลูกค้าเพิ่มมากกว่า 17 ล้านรายในปีนี้ กลับมีความมั่นใจและเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี
ล่าสุด ราคาหุ้นของ Netflix ปิดตลาดที่ 643.04 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 0.68% ซึ่งก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการ มูลค่าหุ้นลดลง 6% หลังจากที่แนวโน้มรายได้ของยักษ์ใหญ่สตรีมมิ่งพลาดการคาดการณ์ของ Wall Street ในไตรมาสปัจจุบัน
ที่มา Financial Times, Bloomberg, Nikkei Asia