แม้เดือนกันยายนจะเป็นช่วงเวลาที่ราคาทองคำมักจะผันผวน แต่ YLG มองว่าปีนี้ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้ หากเฟดลดดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ และยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ ทั้งจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงสะสมทองคำ และสถานการณ์ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะคลี่คลาย
วายแอลจี ชี้ว่า แม้ราคาทองคำจะแสดงผลงานที่ไม่โดดเด่นในเดือนกันยายน แต่ภาพรวมของปีนี้ยังคงมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ นั่นคือการเริ่มต้นวงจรดอกเบี้ยขาลงของเฟด หากเฟดดำเนินการลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% อาจเป็นแรงกระตุ้นให้ราคาทองคำทำสถิติใหม่ได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ หากราคาทองคำสามารถทะลุแนวต้านที่ 2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้ ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
นอกจากนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงดำเนินนโยบายสะสมทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีการซื้อทองคำสุทธิถึง 483 ตัน ซึ่งสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ประกอบกับสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกที่ยังคงมีความตึงเครียดและยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนราคาทองคำในระยะยาว
ในส่วนของราคาทองคำในประเทศ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่ YLG ยังคงประเมินว่าราคาทองคำแท่งในประเทศมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปทดสอบเป้าหมายที่ 43,000 บาทต่อบาททองคำ นอกจากนี้ YLG ยังได้ร่วมมือกับ Trading View เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ สำหรับผู้ที่เปิดบัญชี YLG Futures ผ่านแพลตฟอร์ม Trading View
YLG ชี้ปัจจัยที่ต้องจับตา ก.ย.นี้ ทองคำจะไปต่อ หรือ จะร่วง?
คุณฐิภา นววัฒนทรัพย์ จาก YLG เผยว่า ตามสถิติแล้ว ราคาทองคำมักจะไม่ค่อยสดใสในเดือนกันยายน โดยนับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ราคาทองคำมักจะปรับฐานลงโดยเฉลี่ยประมาณ 2-3% อย่างไรก็ตาม ปีนี้อาจแตกต่างออกไป เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจช่วยประคองราคาทองคำไม่ให้ร่วงลงแรง หรืออาจผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นทำสถิติใหม่ได้เลย หากเฟดตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงถึง 0.50% ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังต้องติดตามกันต่อไป หรือแม้ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 0.25% ก็อาจทำให้เกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นในตลาดทองคำได้ แต่ผลกระทบน่าจะจำกัด เพราะยังมีปัจจัยบวกอื่นๆ ที่จะช่วยหนุนราคาทองคำอยู่
ราคาทองคำยังขาขึ้น! YLG มองทะลุ 2,550 ดอลลาร์ มีลุ้นแตะ 2,650 ดอลลาร์
ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มสดใส โดยหากสามารถทะลุแนวต้านสำคัญที่ 2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้ ก็มีโอกาสที่จะพุ่งขึ้นไปทดสอบเป้าหมายถัดไปที่ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ปัจจัยสนับสนุนไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องนโยบายการเงินของเฟดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนต้องการถือครองทองคำไว้ในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง
YLG แนะถือทอง 5-15% ของพอร์ต
โดยแนะนำให้ถือครองทองคำอย่างน้อย 5-10% ของพอร์ตการลงทุน หรืออาจเพิ่มสัดส่วนเป็น 15% สำหรับพอร์ตที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ในระยะยาวยังมีปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง โดยข้อมูลจากสภาทองคำโลกชี้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีการซื้อทองคำสุทธิถึง 483 ตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลมา นอกจากนี้ ยังเริ่มเห็นเม็ดเงินไหลเข้ากองทุน ETF ทองคำอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสทำนิวไฮใหม่ แตะ 43,000 บาท
สำหรับราคาทองคำในประเทศ แม้ว่าจะปรับตัวขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าราคาทองคำโลกเนื่องจากผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่หากราคาทองคำโลกสามารถขึ้นไปถึงเป้าหมายที่ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้ ราคาทองคำแท่งในประเทศก็มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 42,850-43,000 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้นในช่วงที่ราคาทองคำกำลังปรับตัวลดลงเพื่อรอความชัดเจนจากเฟด แนะนำให้รอจังหวะที่ราคาย่อตัวลงมาสร้างฐานแล้วจึงเข้าซื้อ โดยมีแนวรับที่ 2,484-2,465 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และแนวต้านอยู่ที่ 2,532-2,550 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนราคาทองคำในประเทศ แนวรับอยู่ที่ 40,350-40,050 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านอยู่ที่ 41,100-41,400 บาทต่อบาททองคำ