อินไซต์เศรษฐกิจ

ไทย - ซาอุดีอาระเบีย ฟื้นความสัมพันธ์ในรอบ 30 ปี อะไรคือโอกาสของเศรษฐกิจไทย ?

26 ม.ค. 65
ไทย - ซาอุดีอาระเบีย ฟื้นความสัมพันธ์ในรอบ 30 ปี อะไรคือโอกาสของเศรษฐกิจไทย ?
ไฮไลท์ Highlight
"หากในอดีตไทยไม่มีปัญหาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ไทยจะเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอาเซียนของซาอุดีอาระเบีย เพราะเค้าชื่นชอบแรงงานไทยอย่างมาก  แต่ยังเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีสายใยร่วมกันมาโดยตลอด จะเป็นจุดเชื่อมต่อ ที่ทำให้การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี" ดร.ศราวุธ กล่าว

ไทย - ซาอุดีอาระเบีย ฟื้นความสัมพันธ์ในรอบ 30 ปี
อะไรคือโอกาสของเศรษฐกิจไทย ?

 

นับเป็นภาพประวัติศาตร์ในรอบกว่า 30 ปี หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย อย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด  มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันความตั้งใจร่วมกัน ในการสะสางประเด็นที่คั่งค้างทั้งหมดระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย และปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองราชอาณาจักรให้เป็นปกติ รวมทั้งยังได้ย้ำความสำคัญของการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรของสองราชอาณาจักร และการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย

 822490

 

ทีมงาน SPOTLIGHT ถอดบทสัมภาษณ์ ดร.ศราวุธ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ที่ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ CEO Vision Plus ทางสถานีวิทยุ FM 96.5 เกี่ยวกับประเด็นการฟื้นความสัมพันธ์ในครั้งนี้

 

การปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งสำคัญ “ ซาอุดิอาระเบีย วิชั่น 2030”

ประเทศซาอุดีอาระเบีย นับเป็นประเทศที่มีความสำคัญในภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอาหรับ เป็นประเทศร่ำรวยน้ำมัน และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจอีกหลายมิติ แต่หากย้อนกลับไปราว 5-6 ปีที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบีย ประสบปัญหาเศรษฐกิจ เพระราคาน้ำมันที่ตกต่ำ ประเทศเริ่มมีหนี้สินแม้จะไม่มาก แต่ไม่เคยเกิดปัญหามาเช่นนี้มาก่อนในประวัติศาสตร์ ทำให้ประเทศซาอุดีอาระเบียจึงปรับนโยบายของประเทศใหม่

 605299

 

ดร.ศราวุธ อธิบายให้ฟังว่า ภายใต้การนำของ  เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด  มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นคณะผู้นำรุ่นใหม่ของซาอุดิอระเบีย มีการประกาศ ซาอุดิอาระเบีย วิชั่น 2030 ซึ่งถือเป็นแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศครั้งสำคัญ เพราะซาอุดีอาระเบียจะลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน และหันไปทำกิจกรรมอื่นที่จะสร้างรายได้ให้ประเทศมากขึ้น  ทั้งนี้เพราะซาอุดีอาระเบีย มองเห็นแล้วว่า  ในอนาคตน้ำมันมีโอกาสหมดไป  และการพัฒนาของพลังงานทางเลือกมีมากขึ้น  จึงไม่สามารถพึ่งพารายได้จากน้ำมันเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับประเทศในตะวันออกกลางทั้งหลาย ทั้ง สหรัฐอาหรับเอมิมิเรตส์ โอมาน บาห์เรน กาต้าร์  ที่ลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมันมาก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน

 

การเปิดประเทศของซาอุดีอาระเบีย ภายใต้ “ซาอุดิอาระเบีย วิชั่น 2030” เป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะมีทั้งการเปิดรับ และ การออกไปลงทุน ในต่างประเทศ มากขึ้น การที่เงินลงทุนของซาอุดีอาระเบียถูกกระจายออกไปทั่วโลก ดร.ศราวุธ มองว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยด้วย หลัง 2ประเทศ ประสบความสำเร็จในการฟื้นความสัมพันธ์  

 

ศักยภาพของซาอุดิอาระเบียนอกเหนือจาก น้ำมัน

นอกจากน้ำมันแล้ว ซาอุดีอาระเบีย  ยังมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่สำคัญ ซึ่งที่ผ่านมามีการเปิดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนได้ รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติ ที่มีนโยบายเปิดให้สำรวจ และขุดเจาะด้วย เพื่อนำกลับมาใช้ในประเทศเอง    นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบีย ยังมีการแข่งขันกับ UAE ในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจบริการของโลก จึงถือว่า ซาอุดิอาระเบีย มีศักยภาพสูงในการเติบโตทางเศรษฐกิจ     

560611

โอกาสของเศรษฐกิจไทย หลังความสำเร็จฟื้นความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดีอาระเบีย

 

1.ด้านการส่งออกอาหาร

ซาอุดิอาระเบีย เป็นประเทศที่มีการนำเข้าอาหารเป็นส่วนใหญ่  โดยเฉพาะอาหารฮาลาล ขณะที่ไทยเป็นประเทศลำดับต้นๆของโลก ที่ส่งอาหารฮาลาลไปยังประเทศมุสลิม  เมื่อความสัมพันธ์เปิด จึงเป็นโอกาสของไทย ในการส่งออกอาหาร และสินค้าฮาลาล ไปยังซาอุดิอาระเบีย

2.ด้านพลังงาน

ประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลางอยู่แล้ว  อันดับ ที่ 1 คือประเทศ UAE อันดับ 2 คือ โอมาน และ อันดับ 3 คือ ซาอุดิอาระเบีย ทั้งที่ซาอุฯ เป็นประเทศที่มีน้ำมันสำรองมากที่สุด  ดังนั้นการฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทย มีโอกาสนำเข้าน้ำมันจากซาอุดีอาระเบีย มากขึ้นมาอยู่อันดับ ต้นๆ ของภูมิภาคตะวันออกกลางได้

3.ด้านการสาธารณสุข

ซาอุดีอาระเบีย ต้องการพัฒาด้านนี้ ขณะที่ไทยมีจุดเด่นด้านสาธารณสุข สังเกตุได้จาก การที่มีชาวอาหรับร่ำรวยน้ำมันจำนวนมาก เดินทางเข้ามารักษาสุขภาพในประเทศไทย  หรือ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

4.ด้านการท่องเที่ยวไทย  

ไทยมีจุดแข็งและเชี่ยวชาญด้านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย กำลังเปิดรับ ดังนั้น จะเกิดประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่ายหากมีความร่วมมือระหว่างกัน

5.ด้านเกษตร

ไทยมีจุดแข่งเช่นกัน  ขณะที่ซาอุดีอาระเบีย ยังขาดแคลนอาหาร และมีต้องการผลิตอาหารให้ได้ด้วยตัวเอง  ดังนั้นเป็นโอกาสที่ไทยสามารถร่วมพัฒนาได้

 

โอกาสแรงงานไทย ในซาอุดีอาระเบีย

ประเด็นเรื่องแรงงาน ถือว่า มีความสำคัญและถือเป็นมิติที่ดีมาตลอด ก่อนที่ไทยจะมีปัญหาความสัมพันน์กับซาอุดีอาระเบีย โดยไทยเคยเป็นประเทศลำดับต้นๆของโลกที่ส่งแรงงานเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย ต่อปีราว 2-3 แสนคน และแรงงานเหล่านั้นสามารถส่งเงินกลับประเทศไทยได้เป็นจำนวนมาก

 

การเยือนซาอุดีอาระเบีย ของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ ประเทศไทยได้มีการหารือในประเด็นแรงงานด้วย เท่ากับว่าไทยสนับสนุนให้มีแรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบียแน่นอน  ดร.ศราวุธ  มองว่า ประเทศไทยต้องศึกษา หาลู่ทางใหม่ เพราะตลาดแรงงานของซาอุดีอาระเบีย เปลี่ยนไปจากดีต 30 ปีที่ผ่านมา โดยในปัจจุบันมี19 -20 ประเทศ ที่ส่งแรงงานเข้าไปในซาอุดีอาระเบีย และครอบครอง ตลาดแรงงานกว่า 90 สาขาอาชีพเรียบร้อยแล้ว จึงเป็น มิติการแข่งขันของแรงงานไทย

 

นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีคนตกงานจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อเวลาเศรษฐกิจฟื้น ซาอุดีอาระเบีย อาจจะเลือกให้ความสำคัญกับแรงงานในประเทศเป็นหลักก่อน ดังนั้นจึงเป็น ความท้าท้ายของรัฐบาลไทย ในการต้องศึกษาตลาดแรงงานในซาอุดีอาระเบีย ก่อนที่จะส่งแรงงานไทยกลับเข้าไปอีกครั้ง

 

"หากในอดีตไทยไม่มีปัญหาความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ไทยจะเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอาเซียนของซาอุดีอาระเบีย เพราะเค้าชื่นชอบแรงงานไทยอย่างมาก  แต่ยังเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีสายใยร่วมกันมาโดยตลอด จะเป็นจุดเชื่อมต่อ ที่ทำให้การฟื้นความสัมพันธ์ครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี" ดร.ศราวุธ กล่าว

 956614

 

สำหรับประเด็นเรื่องแรงงานนั้น นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้พบหารือทวิภาคีกับ Ahmad Sulaiman ALRajhi  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาทางสังคม ซาอุดีอาระเบีย ณ เรือนรับรองแขกต่างประเทศ พระราชวังคิงซาอุด ระหว่างร่วมคณะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี

 

ทั้งนี้ มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียทรงมีบัญชาให้กระทรวงฯ ดำเนินการจัดการหาแรงงานดีมีฝีมือ โดยตั้งเป้าให้ได้ 8 ล้านคน ซึ่งไทยสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ และซาอุดีอาระเบียประสงค์ผลักดันความร่วมมือด้านแรงงานให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยเฉพาะแรงงานภาคบริการ โรงแรม  สุขภาพ และอุตสาหกรรมก่อสร้างในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

 

นอกจากนี้ ฝ่ายซาอุดีอาระเบีย บอกถึงมาตรการดูแลคุณภาพชีวิตและสวัสดิการของแรงงานต่างชาติในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมี E-Contract Program เป็นการทำสัญญาจ้างอิเล็กทรอนิกส์ มุ่งรักษาสิทธิของลูกจ้าง ลดความขัดแย้งระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง รวมถึงมีข้อริเริ่ม Labor Mobility Initiative ให้แรงงานเคลื่อนย้ายได้อิสระ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น สร้างประสิทธิภาพ และความสามารถการแข็งขันในตลาดแรงงาน

901512

advertisement

SPOTLIGHT