ชวนรู้จัก "Lipstick Index" เครื่องมือชี้วัดเศรษฐกิจด้วยแรงซื้อของผู้หญิง ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี เราจะปลดปล่อยด้วยการซื้อลิปสติกกันมากขึ้น
ไม่ได้มีแค่ GDP หรือดัชนีเงินเฟ้อเท่านั้นที่ใช้เป็นตัวชี้วัดสภาพเศรษฐกิจ เพราะยังมีตัวชี้วัดสุดแปลกอีกหลายอย่างที่สามารถทำให้เรารับรู้ได้ว่า เศรษฐกิจกำลังดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "ดัชนีลิปสติก" (Lipstick Index) ที่บ่งชี้ได้ว่า เศรษฐกิจกำลังแย่ลง เพราะผู้หญิงซื้อลิปสติกกันมากขึ้น
ที่มาของ Lipstick Index เกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 2000 (ช่วงคาบเกี่ยวหลังวิกฤตฟองสบู่ดอตคอม) เมื่อ "ลีโอนาร์ด ลอเดอร์" ประธานกรรมการบริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่ของโลก Estee Lauder ได้คิดค้นคำว่า "ดัชนีลิปสติก" ขึ้นมาพร้อมกับแนวคิดที่ว่า "ยอดขายลิปสติก" เป็นสิ่งที่บ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจได้
เพราะในช่วงที่เศรษฐกิจขาลง หรือเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เรามักจะต้องประหยัดและงดช้อปสินค้าฟุ่มเฟือยชิ้นใหญ่ๆ ตั้งแต่ รถ ไปจนถึงกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า
สิ่งเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาให้ผู้หญิงไปจนถึง LGBTQ+ รู้สึกดีขึ้นได้บ้างก็คือ "การซื้อลิปสติก" เพราะเป็นเครื่องสำอางที่ราคาถูกในกลุ่มไลน์เมกอัพและสกินแคร์ แต่ยังให้ความรู้สึกถึงการได้แต่งแต้มสีสันในชีวิต และถือว่ายังพอได้ซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยให้ชุ่มชื่นหัวใจได้บ้าง ดังนั้น ยอดขายลิปสติกจึงสูงขึ้นสวนทางกับสินค้าฟุ่มเฟือยตัวอื่นๆ ได้ แม้เศรษฐกิจจะไม่ดีก็ตาม
แม่นจริงหรือคิดไปเอง?
Lipstick Index ถูกพิสูจน์ว่าใช้วัดได้ผลมาแล้วในขณะนั้นเมื่อปี 2001 ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกากำลังเจอกับวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่ยอดขายลิปสติกกลับเพิ่มสูงขึ้น 11% และเมื่อลองย้อนไปถึงช่วงวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในสหรัฐ (The Great Depression) เมื่อปี 1929-1933 ก็พบว่า มันให้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน นั่นจึงทำให้ดัชนีลิปสติกเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับและถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน (แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ)
แม้ดัชนีนี้จะแม่นบ้างไม่แม่นบ้าง เช่น ในยุควิกฤตซับไพม์ หลังปี 2008 ที่ยอดขายลิปก็ไม่ได้โตขึ้นมาสวนกระแสเศรษฐกิจ แต่ถึงอย่างนั้น Lipstick Index ก็ยังคงอยู่ในกระแสข่าวมาตลอด โดยเป็นเหมือนกิมมิคที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนและตลาดเครื่องสำอางมากกว่า ก่อนที่มันจะไม่แม่นจริงๆ เพราะ "โควิด-19" ที่คนทั่วโลกพากันใส่หน้ากาก หรือหลายคนก็ทำงานจากบ้าน และไม่จำเป็นต้องทาลิปสติกอีกแล้ว
ในช่วงวิกฤตโควิดนั้น ยอดขายลิปสติกลดลงเป็นกลุ่มแรกๆ ของเครื่องสำอางในไลน์เมคอัพเลยทีเดียว แต่ช่วงนั้นก็มีดัชนีตัวใหม่มาแทนที่ นั่นก็คือ Moisturizer Index หรือ "ดัชนีมอยเจอไรเซอร์" ซึ่งเป็นการบัญญัติศัพท์ใหม่มาจากบริษัทหน้าเดิมอย่าง Estee Lauder นั่นเอง ซึ่งก็เป็นเพราะยอดขายมอยเจอร์ไรเซอร์ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าเป็นเพราะคนกักตัวอยู่บ้านหรือทำงานจากบ้านกันมากขึ้น ทำให้แทนที่จะแต่งหน้า ก็หันมาบำรุงผิวหน้าทาครีมกันมากกว่า จึงทำให้มอยเจอร์ไรเซอร์กลายมาเป็นสินค้าดัชนีชี้วัดแทนลิปสติกไป
ดัชนีลิปสติกฟื้นคืนชีพอีกครั้ง?
มีรายงานว่า ดัชนีลิปสติกกำลังฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้งในตลาดสหรัฐ แต่คราวนี้ไม่ได้วัดที่ตัวลิปสติกเพียวๆ เพราะวัดกันที่ภาพรวมของยอดขายเครื่องสำอางที่โตขึ้น สวนทางการใช้จ่ายในหมวดอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังในยุคเงินเฟ้อ
ข้อมูลจาก NPD Group ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวยอดขายของหมวดหมู่สินค้าต่างๆ ตามร้านค้าเฉพาะทางและห้างสรรพสินค้า พบว่า กลุ่มสินค้าด้านความงาม กลายเป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่มียอดขายปลีกสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แม้จะเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยก็ตาม โดยยอดขายสินค้าในไลน์เมคอัพปรับขึ้น 20% สกินแคร์ 12% น้ำหอม 15% และบำรุงเส้นผม 28%
"คุณอาจจะไม่ได้ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยเท่าไรช่วงนี้ แต่คุณก็ยังหาซื้อลิปสติกให้ตัวเองสักแท่งได้" โอลิเวียร์ ถง นักวิเคราะห์จากเรย์มอน เจมส์ กล่าว
ที่มา: CNBC, Business Insider