อินไซต์เศรษฐกิจ

สรุป 7 ประเด็นเศรษฐกิจ-การเมืองจีน จากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์

17 ต.ค. 65
สรุป 7 ประเด็นเศรษฐกิจ-การเมืองจีน จากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์

สรุป 7 ประเด็นเศรษฐกิจ-การเมืองจีน จากที่ประชุมใหญ่พรรคคคอมมิวนิสต์ เวทีการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจีน


"การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20" ได้เปิดฉากขึ้นแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมที่จัดขึ้นทุกๆ 5 ปี และถือเป็นการประชุมทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในจีน โดยจะมีการประกาศแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ การประเมินผลงานที่ผ่านมาในด้านต่างๆ รวมถึงทิศทางนโยบายในอนาคต

ตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ใหญ่กว่าตำแหน่ง ประธานาธิบดี ฉันใด การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ก็สำคัญที่สุด ฉันนั้น 

นี่คือเวทีการเมืองที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องการเมือง เพราะครอบคลุมถึงทิศทางทุกอย่างของประเทศจีน ตั้งแต่การเมือง การทหาร เศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สิ่งแวดล้อม เรียกว่าถ้าอยากรู้ว่าจีนจะไปอย่างไรต่อ ให้ดูจากการส่งสัญญาณในการประชุมนี้ และในปี 2022 นี้ก็มีวาระและเรื่องที่น่าจับตาหลายเรื่อง ตั้งแต่การต่อวาระผู้นำสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง, การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน หลี่ เค่อเฉียง, และนโยบายต่างๆ ของจีนที่กระทบต่อโลกด้วย เช่น ซีโร่โควิด  

ทีมข่าว SPOTLIGHT ได้สรุป 7 ประเด็นเศรษฐกิจ-การเมือง จากสุนทรพจน์ที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้กล่าวไว้ในการเปิดประชุม ดังนี้

000_32lh4wt

1. เดินหน้านโยบาย Zero-Covid ต่อไป 

"ในการตอบสนองต่อการระบาดของโควิด-19 อย่างกะทันหัน เราให้ความสำคัญกับผู้คนและชีวิตของพวกเขาเหนือสิ่งอื่นใด และดำเนินตามนโยบายติดเชื้อเป็นศูนย์ (Zero-Covid) อย่างเหนียวแน่น ในการทำสงครามกับไวรัสอย่างเต็มรูปแบบ เราได้ปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และประสบความสำเร็จอย่างมากในการตอบสนองต่อโรคระบาดและการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม" สี จิ้นผิง กล่าว

นโยบายซีโร่โควิดของจีน เป็นเรื่องที่หลายฝ่ายจับตามากที่สุดในขณะนี้ว่า จีนจะยังใช้นโยบายนี้ต่อไปหรือไม่ หลังจากสร้างผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจจีนเองและซัพพลายเชนทั่วโลก แต่จากสุนทรพจน์ของสีที่กล่าวอ้างความสำเร็จของนโยบายนี้ ก็ได้บ่งชี้แล้วว่าจีนจะเดินหน้าต่อไป แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และแม้แต่ชาวจีนจำนวนหนึ่งก็เบื่อหน่ายกับสภาพนี้แล้วก็ตาม


2. ผลักดันเศรษฐกิจต่อเนื่อง การพัฒนาที่มีคุณภาพคือหัวใจสำคัญ

"การพัฒนาที่เน้นเรื่องคุณภาพสูง คือหัวใจสำคัญที่สุดของการสร้างประเทศสังคมนิยมสมัยใหม่ในทุกมิติ และการพัฒนาก็คือเรื่องที่สำคัญที่สุดของพรรค เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสร้างสังคมนิยมยุคใหม่ที่แข็งแกร่งในทุกด้านได้ หากปราศจากพื้นฐานองค์ประกอบและเทคโนโลยีที่มั่นคง" สี จิ้นผิง กล่าว

แม้ว่านักวิเคราะห์บางรายจะคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า สุนทรพจน์ของสีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย โดยจะเน้นที่ความมั่นคงของชาติมากขึ้น และยอมแลกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงแทน อย่างไรก็ตาม ในสุนทรพจน์ของสีครั้งนี้ยังคงใช้ภาษาเดิม ซึ่งเน้นเรื่องการพัฒนา ทำให้บ่งชี้ว่าจีนจะยังคงมุ่งมั่นกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจต่อไป 


3. ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ยังเป็นเรื่องสำคัญอยู่

"เราจะผลักดันให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างมั่นคง เราจะปรับปรุงระบบการกระจายรายได้ จะรับประกันว่าผู้ที่ทำงานมากกว่าก็จะได้เงินมากกว่า และสนับสนุนให้ผู้คนเจริญรุ่งเรืองด้วยการทำงานหนัก เราจะส่งเสริมความเสมอภาคของโอกาส เพิ่มรายได้ของผู้มีรายได้ต่ำ และขยายกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางออกไป เราจะยังคงเดินหน้าการกระจายรายได้และวิธีการสั่งสมความมั่งคั่งที่มีการกำกับดูแลอย่างดี"  สี จิ้นผิง กล่าว 

หลายคนอาจพอจำได้ว่า สีเน้นย้ำเรื่อง "ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน" เมื่อปี 2021 ในช่วงที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมเข้มงวดกับภาคบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ภาคการศึกษา และภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำให้บรรดานักลงทุนที่ขาดทุนหนักจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหันนี้เป็นกังวลกันอย่างมาก 

สโลแกนเพื่อมาลดช่องว่างความร่ำรวยในจีนตัวนี้ เริ่มแผ่วลงในปีนี้เพราะมาตรการล็อกดาวน์โควิดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนอย่างหนัก อย่างไรก็ตาม การที่สีได้กล่าวถึงอีกครั้งในสุนทรพจน์ก็เป็นการส่งสัญญาณตอกย้ำว่า ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ยังคงเป็นเรื่องที่จีนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากอยู่


4. จีนจะเอาชนะในศึกเทคโนโลยี

"เราจะมุ่งเน้นไปที่ความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ ระดมความเข้มแข็งเพื่อดำเนินการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นนำ และจะเอาชนะในศึกเทคโนโลยี" สี จิ้นผิง กล่าว

การเปิดศึกและปรับทัศนคติกับภาคเทคโนโลยีรายใหญ่ไปก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ Alibaba จนถึง Tencent ทำให้ตลาดเทคโนโลยีของจีนมีมูลค่าลดลงมากถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่สุนทรพจน์ของผู้นำจีนครั้งนี้อาจทำให้หลายฝ่ายคลายความวิตกกังวลไปได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อจีนย้ำว่าจะมุ่งมั่นกับการพัฒนานวัตกรรม ในขณะที่สหรัฐกำลังบล็อกจีนเรื่องเทคโนโลยีชิปคอมพิวเตอร์

000_32lg2ab


5. มุ่งมั่นสู่เศรษฐกิจสีเขียว Green Economy

“เราจะทำงานอย่างจริงจังและรอบคอบเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนสูงสุด (peak carbon emissions) และความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality)ภายใต้พลังงานและทรัพยากรของเรา จะทำให้เราสามารถพัฒนาความคิดริเริ่มเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนสูงสุดได้ ด้วยวิธีการที่มีการวางแผนมาอย่างดีและเป็นขั้นเป็นตอน สอดคล้องกับหลักการของการรับสิ่งใหม่ก่อนที่จะทิ้งสิ่งเก่า” สี จิ้นผิง กล่าว 

หากเทียบกับผู้นำคนก่อนๆ แล้ว อาจกล่าวได้ว่าสีคือผู้นำที่ทะเยอทะยานในเรื่องเป้าหมายสีเขียวมากที่สุด และต้องการให้เรื่องนี้เป็นหนึ่งในผลงานที่จารึกไว้ของตนเอง จึงนำไปสู่มาตรการลดมลพิษทางอากาศในเมืองอย่างจริงจัง และมีการประกาศเป้าหมาย Net zero ภายใน 4 ทศวรรษ 

อย่างไรก็ตาม ปัญหาการขาดแคลนพลังงานทั่วประเทศ และความวุ่นวายด้านพลังงานทั่วโลกหลังจากเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ได้เปลี่ยนโฟกัสของจีนให้กลับมาที่ความมั่นคงทางพลังงานเป็นหลักอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายเรื่องสภาพอากาศตามมาเป็นที่ 2 ห้กลับไปที่ความมั่นคงด้านพลังงานอีกครั้ง ส่วนเป้าหมายด้านสภาพอากาศต้องตกมาเป็นอันดับ 2


6. นโยบายต่างประเทศ

“อิทธิพล ความดึงดูด และอำนาจของจีนในเวทีระดับโลกได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในภูมิทัศน์ระหว่างประเทศ เราได้คงไว้ซึ่งการแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ที่แน่วแน่และเจตนารมณ์ในการต่อสู้ ตลอดความพยายามเหล่านี้ เราได้ปกป้องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์หลักของจีน และทำให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่ดีสำหรับการเดินหน้าพัฒนาและรับประกันเรื่องความมั่นคง” สี จิ้นผิง กล่าว

ในการประชุมพรรคครั้งก่อนเมื่อปี 2017 สีเคยประกาศเอาไว้ว่า จีนจะยืนตระหง่านและมั่นคงในโลกตะวันออก ซึ่งถือเป็นการออกจากกลยุทธ์ "ซ่อนและรอจังหวะ" ในยุคของเติ้ง เสี่ยวผิง และจีนเองก็มีการเปลี่ยน/เพิ่มความชัดเจนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามทางการเมืองในฮ่องกงและซินเจียง การเปิดเผยข้อมูลเรื่องโควิด การเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย การใช้นโยบายที่แข็งกร้าวกับไต้หวันและในทะเลจีนใต้ รวมถึงทิศทางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดขึ้นกับตะวันตก 


7. ช่องแคบไต้หวันจะยังคุกรุ่นต่อ 

“เราจะยังคงมุ่งมั่นเพื่อการรวมชาติอย่างสันติด้วยความจริงใจและความพยายามอย่างสูงสุด แต่เราจะไม่สัญญาว่าจะเลิกใช้กำลัง และเราขอสงวนสิทธิ์ในการใช้มาตรการทั้งหมดที่จำเป็น กงล้อแห่งประวัติศาสตร์กำลังเคลื่อนไปสู่การรวมชาติของจีนและการฟื้นฟูชาติจีน การรวมชาติอย่างสมบูรณ์ของประเทศของเราต้องเกิดขึ้นจริง และสามารถทำได้โดยไม่ต้องสงสัย”

กรณีเรื่องไต้หวันนั้น เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐแย่ลง เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน พูดมาตลอดว่าจะช่วยเหลือไต้หวันหากถูกโจมตี แม้ว่าสหรัฐจะยอมรับในหลักการจีนเดียวและทำให้ดำเนินความสัมพันธ์กับจีนมาได้หลายทศวรรษก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า "ไต้หวัน" จะยังคงเป็นเรื่องร้อนทางการเมืองระหว่างประเทศต่อไป 


ที่มา: Bloomberg, BBC

advertisement

SPOTLIGHT