วันนี้เราก็จะได้รู้แล้วว่าชาติใดจะได้ครองแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2022 ระหว่างอาร์เจนติน่าและฝรั่งเศสที่ต่างเอาชนะคู่แข่งจนเข้ามาอยู่ในรอบไฟนอลได้ในที่สุด
แต่ก่อนที่จะได้ชมการแข่งขันนัดสุดท้าย นอกจากฟอร์มทีมนักบอลที่จะลงสนามในวันนี้แล้ว ทีมข่าว Spotlight อยากพาไปดูฟอร์มด้านเศรษฐกิจของ 2 ประเทศนี้กันบ้างว่าทั้งอาร์เจนติน่าและฝรั่งเศสมีจุดเด่นทางเศรษฐกิจด้านใด และใครจะวินในแมทช์นี้
‘อาร์เจนติน่า’ เศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ในหมู่ประเทศละตินอเมริกา
จากข้อมูลของธนาคารโลกและองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ‘อาร์เจนติน่า’ เป็น ‘เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของประเทศแถบละตินอเมริกา รองจากบราซิล และเม็กซิโก’ และถือว่าเป็นประเทศในกลุ่ม upper-middle income คือรายได้ระดับกลางค่อนไปทางสูงด้วย GDP ต่อหัวที่ 10,709.2 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.7 แสนบาท
อาร์เจนติน่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ทั้งในด้านการเกษตรและพลังงาน นอกจากนี้ยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกอาหารอันดับต้นๆ ของโลก สินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดของอาร์เจนติน่าคือ ‘ข้าวโพด’ ที่คิดมูลค่าเป็น 10.7% ของสินค้าที่อาร์เจนติน่าส่งออกทั้งหมดในปี 2021 ในปี 2020 อาร์เจนติน่าส่งออกถึง 34 ล้านตัน คิดเป็นถึง 18.6% และเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและบราซิล
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้อาร์เจนติน่าจะมีความโดดเด่นด้านการเกษตร ภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของเศรษฐกิจอาร์เจนติน่าคือ ภาคการบริการ รองลงมาเป็นภาคอุตสาหกรรม และภาคการเกษตร โดยในปี 2021 อาร์เจนติน่าได้รายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมด 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นประเทศที่ทำรายได้จากการท่องเที่ยวได้เป็นอันดับสองในหมู่ประเทศละตินอเมริการองจากเม็กซิโก
ธารน้ำแข็งเปริโตโมเรโน ในปาตาโกเนีย แหล่งท่องเที่ยวสำคัญขงอาร์เจนตินา
จากข้อมูลของ Britannica ภาคอุตสาหกรรมเติบโตขึ้นอย่างมากหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงปี 1930s เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการตั้งโรงงานผลิตข้าวของเครื่องใช้ในประเทศเพื่อลดการนำเข้าสินค้าเหล่านี้จากต่างประเทศ นอกจากนี้ยังตั้งกำแพงภาษีให้สูงเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ
ปัจจุบัน บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดของอาร์เจนติน่าคือ MercadoLibre ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในละตินอเมริกา
Mercado Libre มีมูลค่าตลาด 4.24 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท ปัจจุบันบริหารโดยมหาเศรษฐีที่ที่ร่ำรวยที่สุดของอาร์เจนติน่าชื่อ มาร์กอส กัลเปริน (Marcos Galperin) ที่มีทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมด 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.3 แสนล้านบาท และเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 768 ของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสาร Forbes
‘ฝรั่งเศส’ มหาอำนาจด้านแฟชั่นและการท่องเที่ยว
จากข้อมูลของ OECD ฝรั่งเศสถือว่าเป็นเขตเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมีความสำคัญในระดับเดียวกับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เยอรมนี อิตาลี และอังกฤษ นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มี GDP ต่อหัวสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 26 ของโลก ที่ 43,518.5 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านบาทต่อปี และจัดอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้สูง
ภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดในเศรษฐกิจของฝรั่งเศสคือ ภาคการบริการ และการท่องเที่ยว โดยฝรั่งเศสถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของโลกที่มีจุดเด่นคือความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านแฟชั่น สถาปัตยกรรม อาหาร และแนวคิดด้านปรัชญาต่างๆ ทำให้ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวชมความสวยงามและสัมผัสวัฒนธรรมที่มีความเป็นมายาวนานหลายร้อยปีในฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก
จากการจัดอันดับของของ Mastercard ในปี 2019 ก่อนมีการระบาดของโควิด-19 กรุงปารีส เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากอันดับ 1 คือ กรุงเทพมหานคร ของไทย นอกจากนี้ยังได้รายได้จากการท่องเที่ยวไปถึง 2.1 แสนล้านยูโร หรือ 7.7 ล้านบาท ซึ่งมากกว่ารายได้ของประเทศไทยที่ได้ไป 3.4 ล้านล้านบาทในปีนั้น
กรุงปารีส ฝรั่งเศส
นอกจากนี้ ถึงแม้ฝรั่งเศสจะมีการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลัก ฝรั่งเศสยังมีรายได้อีกส่วนมาจากการขายสินค้าทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะสินค้าด้านความงามและแฟชั่นไฮเอนด์ โดยในปัจจุบัน บริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดของฝรั่งเศสก็คือ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า LVMH ซึ่งเป็นเครือแบรนด์หรูมากมายที่เรารู้จักกันดี เช่น Tiffany & Co., Christian Dior, Fendi, Givenchy, Marc Jacobs, Celine, Sephora, TAG Heuer, และ Bulgari
ปัจจุบัน LVMH บริหารโดย เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์ (Bernard Arnault) ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยเขาและครอบครัวมีทรัพย์สินส่วนตัวรวมทั้งหมดถึง 1.82 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.3 ล้านล้านบาท
ส่วนผลของฟุตบอลโลกในวันนี้จะเป็นอย่างไรอีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้ทราบผลการแข่งขันกันแล้ว ที่แน่ๆประเทศผู้ชนะ น่าจะมีเศรษฐกิจที่คึกคักขึ้นได้ในระยะสั้นแน่นอน ด้วยบรรยากาศของการเฉลิมฉลองยินดีของประชาชน … แต่หลังจากจบฟุตบอลโลก2022 แล้วทุกประเทศก็เตรียมนับถอยหลังเข้าสู่ปี 2023 ที่ยังไม่รู้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงแค่ไหน แต่ที่แน่ๆคือ สนามนี้หินกว่าสนามที่กาตาร์แน่นอน
ที่มา: Britannica(1), Britannica(2), World Bank, Trading Economics, Trend Economy, Mastercard