ราคาทองปรับขึ้น 100 บาท ตามทิศทางตลาดโลก หลังจากเมื่อคืนนี้ "เฟด" ขึ้นดอกเบี้ยน้อยตามคาด 0.25% YLG วิเคราะห์ระยะสั้นราคาทองคำยังไปได้ต่อ แต่ถือระยะยาวต้องระวัง เพราะเฟดเอาจริงเรื่องสู้เงินเฟ้อ ส่วนสงครามยูเครน-รัสเซียก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญ
เมื่อคืนที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวลล์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบกว่า 3 ปี และยังเป็นไปตามความคาดหมายของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ว่า เฟดไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยรวดเดียว 0.5% ตามที่เคยคาดไว้เมื่อต้นปีได้ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องสงครามยูเครนเป็นปัจจัยกดดันอยู่
การขึ้นดอกเบี้ยที่ไม่แรงเกินไป ส่งผลให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่ตั้งแต่ หุ้น ทองคำ จนถึงบิตคอยน์ ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า โดยราคาทองสปอต บวก 0.41% ไปอยู่ที่ 1,935.84 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโคเม็กซ์ สหรัฐ บวก 1.36% อยู่ที่ 1,933.90 ระหว่างการซื้อขายเมื่อช่วงเช้านี้ ซึ่งเป็นการดีดตัวกลับขึ้นมาหลังจากที่ปรับตัวลดลงไปเมื่อคืน
ส่วนราคาทองคำในบ้านเรา ราคาทองคำวันนี้ (17 มี.ค. 2565) ปรับราคาขึ้น 100 บาท เมื่อเทียบกับราคาสุดท้ายเมื่อวานนี้
- ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 30,950 บาท / รับซื้อ บาทละ 29,804.56 บาท
- ทองคำแท่ง ขายออก บาทละ 30,450 บาท / รับซื้อ บาทละ 30,350 บาท
นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน ฟิวเจอร์ส ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ของเฟด ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำในช่วงสั้น โดยในระยะสั้นมองว่าราคาทองน่าจะทรงตัวได้เพราะตลาดรับปัจจัยลบไปแล้วในเรื่องเฟด
ส่วนปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาทองด้วยก็คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งจะส่งผลกระทบในแง่ค่าเงินเมื่อเทียบดอลลาร์ หากไม่ขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดก็จะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าและกดดันราคาทองลงมา แต่เบื้องต้นนั้นตลาดคาดว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยตาม และเชื่อว่าราคาทองในระยะสั้นจะยังปลอดภัยอยู่ หรือถึงแม้จะย่อก็น่าจะลงไม่มากนัก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังจริงๆ ก็คือ การลงทุนในระยะถัดไป เพราะแม้ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.25% แต่สิ่งที่เฟดประกาศออกมาพร้อมกันด้วยเมื่อคืนนี้ มีประเด็นสำคัญมากอีกหลายเรื่องด้วยกัน คือ
- การเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐ จาก 2.6% เป็น 4.3%
- การลดคาดการณ์จีดีพีสหรัฐ จาก 4.0% เหลือ 2.8%
- การเตรียมขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มอีก 6 ครั้ง
- การเตรียมลดขนาดงบดุล (Balance Sheet)
ปัจจัยทั้งหมดนี้หมายความว่าอะไร แล้วจะส่งผลอย่างไรต่อราคาทองคำ?
ก่อนที่จะเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เฟดเคยคาดการณ์เอาไว้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ 3 ครั้ง และกว่าจะเริ่มลดขนาดงบดุลก็คาดว่าจะรอไปถึงไตรมาส 3 หรือช่วงปลายไตรมาส 2 แต่จากข้อมูลล่าสุดในการประชุมครั้งนี้ พบว่า เฟดส่งสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้ง! และคาดว่าจะเริ่มลดขนาดงบดุลในเดือน พ.ค. (ประชุมครั้งถัดไป) ก็หมายความว่า เฟดมองว่าปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงกว่าที่เคยคาดเอาไว้ และจำเป็นต้องดำเนินนโยบายที่แรงขึ้น เพื่อคุมเงินเฟ้อให้ได้
ต้องยอมรับว่า สงครามยูเครน เป็นตัวแปรหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงขึ้น จนกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐและทั่วโลกในขณะนี้ ซึ่งการที่เฟดเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐจาก 2.6% เป็น 4.3% ถือเป็นการปรับเพิ่มที่สูงขึ้นมาก และไปไกลกว่ากรอบเงินเฟ้อพื้นฐานที่ประมาณ 2%
เงินเฟ้อเช่นนี้จึงทำให้เฟดต้องใช้ยาแรงขึ้น โดยนอกจากขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ยังต้องลดขนาดงบดุลให้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย ซึ่งหมายถึงการดึงเงินกลับ หรือลดสภาพคล่องในระบบการเงินตอนนี้ให้มีปริมาณเงินน้อยลง เพื่อช่วยลดภาวะเงินเฟ้อลงอีกทาง
นายวรุฒ มองว่า การดึงเงินกลับของเฟดนั้น ในระยะยาวน่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาทอง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ทองคำอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ เช่น ตลาดหุ้น ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทองคำก็ยังมีโอกาสในฐานะเป็นตัวป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลง เพราะนอกจากเรื่องเงินเฟ้อแล้ว เฟดเองก็ลดคาดการณ์จีดีพีจาก 4% ลงมาเหลือเพียง 2.8% นอกจากนี้ ยังมีตัวแปรจากสงครามยูเครนและทิศทางราคาน้ำมันด้วย
ทาง YLG คาดว่าระยะสั้น ราคาทองคำจะยังไม่หลุดกรอบ 30,000 บาท โดยในเชิงเทคนิค แนวรับจะอยู่ที่โซน 1,895 - 1,877 ดอลลาร์/ออนซ์ และแนวต้านมองว่าราคาทองน่าจะแกว่งขึ้นไปในโซน 1,958 - 1,974 ดอลลาร์/ออนซ์