แม้ว่าวันนี้ตลาดหุ้นไทยจะดีดกลับมายืนเหนือ 1,400 จุดได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่าสภาพตลาดหุ้นไทยปี 2566 นี้อาการไม่ค่อยสู้ดี ดัชนีเคยลงไปอยู่ในจุดต่ำสุดในรอบ 3 ปี เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2566 ที่ระดับ 1,370 จุด วันนั้นหุ้นไทยร่วงไปกว่า 30 จุด จนทำให้กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภากร ปีตธวัชชัย ต้องออกมาชี้แจงว่าเป็นการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคและโลก ไม่พบความผิดปกติในการซื้อขาย และเชื่อมั่นว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งอยู่
อย่างไรก็ตามถ้าดูตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยก็ยังปรับตัวลงราว 14% จากเดือนมกราคม ดัชนีปิดที่ 1,671.46 จุด ปัจจุบันอยู่ที่ 1,410 จุด ดัชนีหายไปกว่า 200 จุด
ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิอยู่ 172,418.01 ล้านบาท ฟากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันก็ลดต่ำลงเรื่อยๆจากต้นปี
อยู่ที่ราวเกือบ 7 หมื่นกว่าล้านบาท ค่อยๆลดลงเหลือ 5 หมื่นกว่าล้านบาท จนปัจจุบันเหลือมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ราว 4.5 หมื่นล้านบาท Market Cap วูบหายจาก 20 ล้านล้านบาท เหลือเพียง 16 ล้านล้านบาทเท่านั้น
สภาพเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ในระยะนี้หุ้นไอพีโอ จะร่วงกันระนาวในการเข้าเทรดวันแรก ซึ่งส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า เข้ามาในช่วงสภาพตลาดในปัจจุบันไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่
คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ให้สัมภาษณ์กับ SPOTLIGHT พูดถึงสภาพการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันว่า ไม่มีความ Sexy อยู่แล้ว เพราะหลักการลงทุนที่ดีจะมีองค์ประกอบ 2 อย่างคือ G * L
***G - Growh คือ การเติบโต ส่วน L - Liquidity คือ สภาพคล่อง
ระหว่าง GกับL ต้องยอมรับว่า L หรือ สภาพคล่องสำคัญที่สุด ***
หากตลาดหุ้นที่มีการเติบโตดี สภาพคล่องไม่ดีตลาดอาจจะแค่ประคอง หากการเติบโตไม่ดี สภาพคล่องดี ยังอาจพาดัชนีไปได้บ้าง แต่หากทั้งการเติบโตดีสภาพคล่องดี ยิ่งผลักดันตลาดให้ไปได้ไกล ในทางตรงกันข้ามหากไม่ดีทั้งการเติบโตและสภาพคล่องก็จะเป็นเหมือนสภาพตลาดหุ้นไทยในเวลานี้นั่นเอง
คุณประกิต มองว่า ถามถึง Growth ก็ขึ้นอยู่กับการสร้างการเติบโตให้ประเทศโดยรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งถึงแม้จะเข้ามาด้วยความตั้งใจจะปั้มการเติบโตของ GDP แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ยังไม่มียุทธศาสตร์ในระยะยาว เห็นแต่การดำเนินนโยบายที่ประคองตัว เป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น
ส่วนสภาพคล่อง ต้องยอมรับว่า ขณะนี้ในระดับโลกสภาพคล่องหายไปมากเป็นประวัติการณ์ สาเหตุเพราะอัตราเงินเฟ้อสูงมากจนเกิดการดึงเงินกลับ โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีการดึงเงินกลับ ทำ QT ราว 70,000 -80,000 ล้านเหรียญแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง แม้ว่ารอบนี้ธนาคารกลางสหรัฐจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก็ตาม
ดังนั้นหากคุณเป็นนักลงทุน ต้องดูเป้าหมายการลงทุน เพราะหากอยากได้ Capital Gain จากตลาดหุ้นไทย อยากเก็งกำไร ถือว่า ไม่เหมาะเพราะตลาด อืด และมันแพง ผันผวนเก็งกำไรยาก หากต้องการลงทุนเก็งกำไร แนะนำให้ใช้เครื่องมืออื่น เช่น อนุพันธ์ เป็นต้น หรือการออกไปลงทุนในต่างประเทศ ปัจจุบันสามารถซื้อ DR หรือ DRX ได้
การออกไปลงทุนต่างประเทศในปัจจุบัน คุณประกิต อาจยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะเพราะสภาพเศรษฐกิจผันผวน อาจต้องรอจังหวะ แต่อย่างไรก็ตามมองในระยะยาวแล้วการลงทุนในตลาดต่างประเทศอาจมีข้อดีว่าไทย เพราะทั้งการเติบโต Growth และ Liquidity ดีกว่าประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในตลาดหุ้นไทยหากหวังแค่เงินปันผล ถือว่าเหมาะกับตลาดหุ้นไทย เพราะผลประกอบกาของบริษัทส่วนใหญ่ค่อนข้างนิ่ง
ท่ามกลางบริบทของโลกและสภาพของไทยในเวลานี้ จึงทำให้เห็นว่า ประเทศไทยเราไม่มีภูมิคุ้มกัน เปราะบาง ภาครัฐฯยังไม่สร้างความเชื่อมั่นในการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวได้ เมื่อบรรยากาศตลาดโลกไม่เอื้ออำนวย…หุ้นไทยก็ไหลลงเลยทันทีเลย แม้เราไม่ได้มีอะไร แต่นั่นเป็นเพราะเราอ่อนแอ เราไม่มีภูมิกัน..
ดูวีดีโอ คุณประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์