Priceza Money เว็บเปรียบเทียบประกันรถยนต์ และ Insurance Content Creator เผยแนวโน้มของวงการประกันภัยรถยนต์ในปี 2566 หลังวิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเนื่องในปี 2565 และคาดการณ์ว่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อและการขายประกันรถยนต์ในประเทศไทยไปอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้บริโภคในด้านราคาประกันรถยนต์อาจจะถูกลง 30-40% โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา วิกฤติโควิด-19 ได้ส่งผลกระทบต่อวงการประกันภัยในหลายๆด้าน เช่น วิกฤติประกันโควิด-19 และ นอกจากนั้นยังส่งผลกระทบของพฤติกรรมการซื้อสินค้าประกันรถยนต์ของคนไทยอีกด้วย Priceza Money ได้สรุปเป็น 3 เทรนด์หลักๆ ดังนี้
ก่อนหน้า วิกฤติโควิด-19 คนไทยคุ้นเคยกับการซื้อประกันรถยนต์แบบคุ้มครองจัดเต็ม ราคาหลัก 10,000-20,000 บาท กันมาโดยตลอดแต่พอถึงช่วงโควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่ที่เคยใช้รถยนต์อย่างเคยชินกันทุกวัน แทบจะไม่ได้ใช้รถยนต์เลย ทำให้หลายๆคนเริ่มรู้สึกไม่คุ้มค่าที่จะต้องจ่ายค่าประกันภัยรถยนต์ในราคาสูงๆอีกต่อไป จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดกระแสความสนใจประกันรถยนต์แบบตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) ขึ้นมาครับ
จากสถิติของ Priceza Money จะเห็นแนวโน้มของ ‘ประกันเติมไมล์’ หรือ ประกันที่คุ้มครองตามระยะทางการขับรถเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงโควิด-19 ระบาด นอกจากนี้ ประกันรถยนต์แบบเปิด-ปิด ที่คุ้มครองตามชั่วโมงการขับรถ ก็มีคนค้นหาใน google มากขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันด้วยครับ และ ประกันรถยนต์ตามโปรไฟล์ผู้ขับ จากรู้ใจประกันภัยก็เป็นอีกบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นในระหว่างช่วงโควิด-19 ครับ
ซึ่งเทรนด์ประกันรถยนต์ตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ใช้ประกันรถยนต์มาหลายปีแล้วครับ เช่น
โดยข้อดีของประกันรถยนต์ตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) มีราคาเฉลี่ยที่ถูกกว่าประกันรถยนต์แบบคุ้มครองจัดเต็มถึง 30-40% (ข้อมูลจาก Priceza Money)
อย่างในประเทศไทย ตัวอย่างของประกันรถยนต์ตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) ได้แก่
ในปัจจุบันหลังจากวิกฤติโควิด-19 ผ่านไปแล้ว แต่ ประกันรถยนต์ตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) ก็ยังมีอัตราเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
ซึ่งเรามองว่าอนาคตในปี 2566 ที่จะถึงและปีต่อๆไป จะมีคนที่สนใจและเลือกซื้อประกันรถยนต์ตามความต้องการของผู้ใช้ (Personalize insurance) มากขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน จากราคาที่ถูกลง และการใช้งานที่เหมาะสมกับแต่ละคนมากขึ้น ยังไม่รวมการมาถึงของ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จะสามารถเก็บข้อมูลการขับขี่ได้ละเอียดขึ้น ทำให้บริษัทประกันสามารถบริหารความเสี่ยงในการเลือกรับประกันภัยให้กับลูกค้าแต่ละคนได้ดีขึ้นอีกด้วยนั่นเอง
เทรนด์การขายแบบ Direct to customers ในฝั่งของ e-commerce เราจะเห็นกันมาซักพักแล้วอย่างเช่น official store ใน shopee หรือ lazada ส่วนในฝั่งของประกันรถยนต์ ในอดีตมาถึงปัจจุบัน สัดส่วนการขายส่วนใหญ่ถึง 90% จะเป็นการซื้อขายผ่านตัวแทนประกันรถยนต์ (Agent) หรือ นายหน้าประกันรถยนต์ (Broker) โดยบริษัทประกันรถยนต์จะทำหน้าที่เป็น back office ให้กับตัวแทนและนายหน้าเท่านั้น
แต่ด้วยผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการซื้อสินค้าต่างๆของคนไทยเปลี่ยนไป เริ่มคุ้นเคยกับการ ‘ซื้อออนไลน์’ กันมากขึ้น
โดยถ้าเรามองภาพรวมในประเทศไทยในปัจจุบัน ช่องทางการขายประกันรถยนต์แบบ Direct to customers มีสัดส่วนราวๆ 1% จากช่องทางการขายประกันรถยนต์ทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนการซื้อแบบ Direct to customers เฉลี่ยสูงถึง 20% และ ใน สหราชอาณาจักร (UK) ก็มีสัดส่วนเฉลี่ยสูงถึง 35% ก็อาจจะหมายความว่าช่องทาง Direct to customers ในประเทศไทยยังมีโอกาสที่จะเติบโตอีกเยอะมากๆครับ
อีกเทรนด์ที่น่าสนใจหลังวิกฤติโควิด-19 ของฝั่งประกันรถยนต์ก็คือ ‘การเปลี่ยนไปของพฤติกรรมการซื้อประกันรถยนต์’ ครับ
ข้อมูลจาก Priceza Money ระบุว่า ช่วงก่อนโควิด-19 ถึง ระหว่างโควิด-19 พฤติกรรมการเลือกซื้อประกันรถยนต์ของลูกค้าจะเลือกจากการเน้นดู ‘ราคาถูก’ เป็นหลัก เนื่องจากลูกค้ายังไม่ได้ตระหนักถึงความแตกต่างกันของบริษัทประกันแต่ละแห่ง จึงเน้นว่า ‘ที่ไหนขายถูก ก็เลือกที่นั่น’
ในช่วงปี 2019-2021 บริษัทประกันรถยนต์ที่ลูกค้านิยมเลือกมากที่สุดคือ สินมั่นคงประกันภัย ไทยศรีประกันภัย และ รู้ใจประกันภัย ที่มีเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 เฉลี่ยที่ราคา 9,000 - 12,000 บาท แต่พอถึงช่วงปลายปี 2021 เข้าปี 2022 เกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบมาจากโควิด-19 นั่นก็คือ’ประกันโควิด-19’ ที่ทำให้บริษัทประกันหลายๆบริษัทถึงกับต้องปิดกิจการ ทิ้งให้ลูกค้าที่เคลมประกันโควิดรอเงินค่าเคลมกันมาถึงปัจจุบัน
ส่งผลกระทบต่อ ‘ความตระหนักถึงความสำคัญของบริษัทประกันภัย’ ขึ้นมาทันที หลายๆคนเอาบริษัทที่ตัวเองทำประกันโควิดด้วยแล้วจ่ายเร็ว เคลมได้ อย่างวิริยะประกันภัย มาเปรียบเทียบว่าไว้ใจได้ มีความน่าเชื่อถือ ไม่ทิ้งลูกค้า เป็นที่มาให้สถิติการซื้อประกันรถยนต์ของลูกค้าในปี 2022 ถึงปัจจุบัน บริษัทที่มีชื่อเสียงที่ดี มีความน่าเชื่อถือ อย่าง วิริยะประกันภัย และ ธนชาติประกันภัยในเครือของธนาคาร TTB ที่ถึงแม้จะขายเบี้ยประกันรถยนต์ที่แพงกว่าเจ้าอื่นๆ ได้รับความนิยมจากลูกค้าเพิ่มขึ้นเต็มๆ
ราคาเบี้ยประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ลูกค้าเลือก โดยเฉลี่ยในปี 2022 เพิ่มสูงขึ้นเป็น 15,000-18,000 บาท โดยบริษัทยอดนิยมที่ถูกเลือกมากที่สุดคือ วิริยะประกันภัย ธนชาติประกันภัย กรุงเทพประกันภัย สวนทางกับบริษัทที่กำลังฟื้นฟูกิจการอยู่อย่างสินมั่นคงประกันภัย ที่ถึงแม้จะยังขายประกันรถยนต์ในราคาที่ถูกมากๆ (เฉลี่ย 9,000 บาท) แต่ลูกค้าหลายๆคนก็เลือกที่จะไม่ไว้วางใจที่จะซื้อประกันด้วยแล้วนั่นเองครับ
โดยแนวโน้มของเทรนด์ ‘การเลือกบริษัทประกันก่อนราคา’ ก็น่าจะดำเนินต่อไปในปีหน้าอย่างแน่นอนครับ ซึ่งบริษัทประกันเล็กๆที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานก็จะต้องใส่ใจในเรื่องของบริการและการรับประกันคุณภาพให้ลูกค้ามั่นใจมากขึ้น แทนที่จะสนใจแต่ราคาถูกอย่างเดียว และบริษัทใหญ่ๆก็จะได้เปรียบในการแข่งขันไปอีกสักพักอย่างแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ Priceza Money ได้กล่าวว่า ไม่ว่าเทรนด์ของประกันรถยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไหร่ แต่ platform เว็บเปรียบเทียบประกันรถยนต์ ของ Priceza Money ก็จะตอบโจทย์ในการรวบรวมประกันรถยนต์จากทุกบริษัท ทุกผู้ขาย และ ทุกแบบ มาให้คนไทยได้พิจารณาและเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะกับตัวเองอย่างแน่นอนครับ
เพราะ Priceza Money เป็นเว็บเปรียบเทียบประกันรถยนต์ที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องค่า commission จากบริษัทประกัน ทำให้สามารถเปรียบเทียบประกันรถยนต์ทุกรูปแบบให้คนไทยได้อย่างตรงไปตรงมา ไม่เชียร์ขายเจ้าใดเจ้าหนึ่ง นั่นเองครับ