ในจังหวะที่ตลาดไม่เป็นใจ การมีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลาย อาจจะเป็นทางออกที่ช่วยให้นักลงทุนรู้สึกเครียดน้อยลงได้จริงไหมครับ สินทรัพย์ที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามความผันผวนต่างๆ ไปได้และสร้างผลตอบแทนอย่างมีเสถียรภาพก็น่าจะเป็นตัวช่วยที่สำคัญในยามนี้
ถามว่าสินทรัพย์ที่ว่าแบบที่ว่าจะมีหรือ ตอบเลยว่ามีครับ หลายๆ ท่านอาจจะคุ้นเคย นั่นก็คือ ‘ตราสารหนี้ระยะสั้น’ นั่นเองครับ
สายซิ่งทั้งหลายอย่าเพิ่งหันหน้าหนีครับ สินทรัพย์ในการลงทุนมีหลายระดับความเสี่ยง และผลตอบแทนคาดหวังก็ต่างกันไป
ตราสารหนี้ ฟังดูแล้วน่าจะได้ผลตอบแทนน้อยใช่ไหมครับ
ผมบอกเลยว่าไม่เสมอไปครับ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความเสี่ยงมีรอบตัว สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยอาจจะเป็นสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดก็ได้ และหากคุณได้ฟังเรื่องราวของตราสารหนี้ระยะสั้นที่ผมจะเล่าให้ฟังแล้ว อาจจะเปลี่ยนความคิดคุณไปเลยก็ได้นะครับ
จริงอยู่ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ที่คนทั่วไปอาจคุ้นเคยกันดีก็คือการลงทุนในตลาดทุน เช่นตลาดตราสารทุน จำพวกหุ้นต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตลาดตราสารหนี้ จำพวกหุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล ที่ความเสี่ยงต่ำแต่ก็ยังคงเป็นการลงทุนระยะยาวที่ต้องถือไว้เกิน 1 ปีเป็นอย่างน้อยถึงจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทำให้ในบางครั้งอาจไม่ตอบโจทย์สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนบนความเสี่ยงที่ต่ำ ในระยะเวลาที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
แต่สำหรับตราสารหนี้ระยะสั้นถือเป็นสินทรัพย์ลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนดี บนระยะเวลาที่ยืดหยุ่นตรงกับความต้องการของคุณมากขึ้น ถือเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจพื้นฐานเรื่องของตราสารหนี้กันสักหน่อย สำหรับนักลงทุนที่อาจจะยังเป็นหน้าใหม่ ไม่คุ้นเคย
ตราสารหนี้ (Bond) คืออะไร
ตราสารหนี้ คือสินทรัพย์ทางการเงินประเภทหนึ่งซึ่งสามารถเปลี่ยนมือได้ นักลงทุนจะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ และผู้ออกมีสถานะเป็นลูกหนี้ โดยนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็น ‘ดอกเบี้ย’ ตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ในระยะเวลาที่กำหนด และจะได้รับ ‘เงินต้น’ คืนเมื่อครบกำหนดอายุ
ตัวอย่างตราสารหนี้ที่พบเห็นทั่วไป เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ที่ออกโดยภาครัฐ และหุ้นกู้เอกชน ที่ออกโดยภาคเอกชน ซึ่งทั้ง 2 แบบก็จะมีความเสี่ยงด้านความน่าเชื่อถือและดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน
ตราสารหนี้ระยะสั้น vs ตราสารหนี้ระยะยาว
ตราสารหนี้นอกจากจะแบ่งเป็นฝั่งที่ออกโดยภาครัฐ และภาคเอกชนแล้ว ยังจำแนกออกตามระยะเวลาอีกด้วย โดยจะเแบ่งเป็นระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งนับจากอายุของตราสารหรือก็คือระยะเวลาที่จะครบกำหนดไถ่ถอนนั่นเอง
โดยตราสารหนี้ระยะสั้น จะเป็นตราสารที่มีอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปี ส่วนที่มีอายุมากกว่า 1 ปี จะนับว่าเป็นตราสารหนี้ระยะยาวซึ่งตราสารหนี้ระยะยาวจะมีความผันผวนของราคามากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น
เนื่องจากมีโอกาสที่จะถูกกระทบจากปัจจัยที่หลากหลายระหว่างทางกว่าตราสารหนี้จะครบอายุ ทำให้ราคาอาจจะแกว่งขึ้นลงได้ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ หรือดอกเบี้ย เป็นต้น ยิ่งคุณต้องถือตราสารหนี้นานเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดผลกระทบทำให้ราคาผันผวนขึ้นลงก็จะมีมากกว่าการถือตราสารหนี้ในระยะเวลาสั้นๆ
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำให้ตราสารหนี้ระยะสั้น มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าระยะยาว แต่ก็แลกกับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าตราสารหนี้ระยะยาวเช่นกัน
ตราสารหนี้ระยะสั้นน่าลงทุนแค่ไหน เหมาะกับใคร
การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นการลงทุนที่ความเสี่ยงไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ บนผลตอบแทนที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่อยากให้เงินเติบโตได้มากกว่าบัญชีเงินฝากธรรมดา หรือนักลงทุนที่ต้องการโยกย้ายเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ แต่ยังรอจังหวะที่เหมาะสม
การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นจึงเหมาะจะเป็นที่พักเงินก่อนย้ายไปสินทรัพย์ที่เสี่ยงมากขึ้นในอนาคตก็ได้ หรือใครที่ลงทุนต่างประเทศอยู่และต้องการปรับเปลี่ยนการลงทุน ให้ตราสารหนี้ระยะสั้นต่างประเทศเป็นที่พักเงินก่อนก็ได้ ถือเป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่นสูง ไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์เป็นระยะเวลาหลายๆ ปีเพื่อผลตอบแทนที่คุ้มค่า
พักเงินยังไงให้ผลตอบแทนสูงได้
แม้ว่าตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่ไม่สูงนักเมื่อเทียบกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อย่างหุ้น แต่ในยามที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ทำให้ผลตอบแทนของตราสารหนี้ระยะสั้น น่าสนใจไม่น้อย หากพิจารณาที่อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐที่ระดับ 5.25-5.5% แล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นด้วยผลตอบแทนระดับนี้ถือว่าไม่น้อยเลยจริงไหมครับ
โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ โอกาสที่ผลตอบแทนเงินลงทุนของคุณมีโอกาสที่จะติดลบลงไปได้ การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีระดับผลตอบแทน 5% แถมความเสี่ยงต่ำขนาดนี้ ไม่เรียกว่าคุ้มยังไงไหว
ปัจจุบันการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นมีช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น โดยมีกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) รองรับ มีทั้งที่เป็นการลงทุนในประเทศอย่างเดียว ต่างประเทศอย่างเดียว หรือรวมกันทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งแต่ละกองจะมีนโยบายการบริหารหรือสินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนแตกต่างกัน
หากคุณสนใจลงทุนใน ETF พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ผมก็แนะนำให้ว่าควรต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
- เป็น ETF ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น (ต่ำกว่า 1 ปี) เพื่อให้มีความผันผวนต่ำ
- มีการบริหารแบบเชิงรับ (Passive Investing) เพราะจะมีค่าธรรมเนียมการบริการกองทุนที่ต่ำ ให้คุณได้กำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ค่าธรรมเนียมไม่มารบกวน
- มีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) สูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความมั่นคงของกองทุน
- ต้องเป็นกองทุนที่มีอายุอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป เพื่อแสดงถึงความน่าเชื่อถือ
อีกผลตอบแทนที่น่าสนใจสำหรับกองทุนตลาดเงินต่างประเทศ คือคุณยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนอีกเด้งจากการขึ้นลงของอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย เหมือนเช่นกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund) ของ Jitta Wealth ที่ชื่อว่า Jitta Money มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เช่นกัน โดยลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นผ่าน ETF กองทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ซึ่งออกและรับรองโดยรัฐบาลสหรัฐฯ จึงมีโอกาสต่ำมากในการผิดนัดชำระหนี้ ช่วยปกป้องความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ทั้งนี้ Jitta Money ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้นผ่าน ETF ซึ่งนอกจากตัว ETF จะกระจายความเสี่ยงในตัวอยู่แล้ว Jitta Money ยังกระจายความเสี่ยงเพิ่มเติมอีกด้วยการลงทุน ETF 2 ตัวในสัดส่วน 50/50 พร้อมคอยปรับพอร์ต บาลานซ์สัดส่วนใหญ่อัตโตมัติ หากมีตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเกิน 5%
ผลตอบแทนของ Jitta Money ก็ไม่ได้หวือหวาอะไรครับ ก็ตามผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น ที่ระดับ 5% ตามที่ผมได้เล่าไปครับ แต่เอาเข้าจริงกลับพบว่า ตั้งแต่ต้นปี ถึง วันที่ 10 ก.ค. 2567 ผลตอบแทน (YTD) ของ Jitta Money สูงถึง 8.32% เลยล่ะครับ เพราะส่วนหนึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าทำให้ผลตอบแทนโดยรวมสูงขึ้น แน่นอนครับ หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าเมื่อใด ผลตอบแทนก็อาจจะลดลง แต่ถึงกระนั้น ผลตอบแทนที่ระดับ 5% ก็ไม่แย่เลย จริงไหมครับ
มาถึงตรงนี้แล้ว คุณเห็นหรือยังครับว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นการลงทุนแบบเย็นใจ ด้วยความเสี่ยงต่ำที่สุด ไม่เพียงเหมาะที่จะเป็นแหล่งพักเงิน แต่หากคุณคิดอยากจะใช้เป็นพอร์ตเริ่มต้นในการออกไปลงทุนต่างประเทศ ผมว่าก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะครับ