แม้จะก้าวขึ้นเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่ภายในประเทศอินเดียกลับยังคงมีประชากรจำนวนมากต้องเผชิญกับความหิวโหย ความย้อนแย้งนี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่า "ทำไม?" และ "ประเทศไทยสามารถเรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้ได้บ้าง?"
บทความนี้ SPOTLIGHT จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุเบื้องหลังปัญหาความหิวโหยในอินเดีย ตั้งแต่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนไปจนถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมทั้งวิเคราะห์บทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาปรับใช้ เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
อินเดียก้าวขึ้นแท่นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2023 ด้วยปริมาณส่งออกที่สูงถึง 16.5 ล้านตัน ทิ้งห่างไทยผู้ส่งออกอันดับสองอย่าง ประเทศไทย ด้วยปริมาณ 8.2 ล้านตัน ความสำเร็จนี้เป็นเครื่องยืนยันถึงศักยภาพทางการเกษตรอันมหาศาลของอินเดีย ที่สามารถผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงดูผู้คนจำนวนมากได้ เรียกได้เลยว่าอินเดียไม่ได้เป็นเพียงผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ผลิตข้าวรายใหญ่อันดับสองรองจากจีนอีกด้วย ความสามารถในการผลิตข้าวได้เกือบทุกพื้นที่ในประเทศ โดยเฉพาะในรัฐเบงกอลตะวันตก, UP, ปัญจาบ, พรรคเตลัง และทมิฬนาฑู ทำให้อินเดียมีผลผลิตข้าวจำนวนมหาศาล
อันดับ | ประเทศ |
ปริมาณการส่งออกข้าว (พันเมตริกตัน)
|
1 | อินเดีย | 16,500 |
2 | ไทย | 8,200 |
3 | เวียดนาม | 7,600 |
4 | ปากีสถาน | 5,000 |
5 | สหรัฐอเมริกา | 2,675 |
6 | จีน | 2,200 |
7 | กัมพูชา | 1,950 |
8 | เมียนมาร์ | 1,800 |
9 | บราซิล | 1,300 |
10 | อุรุกวัย | 950 |
นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่อันดับสามของโลก มีพื้นที่เพาะปลูกธัญพืชคิดเป็น 11.2% ของพื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก โดยมีพื้นที่เพาะปลูกข้าวมากที่สุดในโลก แซงหน้าจีนอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงประสบปัญหาผลผลิตข้าวต่อไร่ที่ต่ำกว่าจีน โดยอยู่ที่ 2,809 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความไม่เท่าเทียมกันของระบบนิเวศในแต่ละภูมิภาค การใช้ปุ๋ยที่ไม่สม่ำเสมอ เทคโนโลยีการเกษตรที่ล้าสมัย ปัญหาน้ำท่วม และการจัดการชลประทานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความภาคภูมิใจในความสำเร็จด้านการส่งออกข้าว อินเดียยังคงเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศ ผลการจัดอันดับดัชนีความหิวโหยโลก (Global Hunger Index: GHI) โดยองค์กร Concern Worldwide และ Welthungerhilfe ในปี 2023 ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่น่ากังวล อินเดียถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 111 จาก 125 ประเทศ โดยมีคะแนน GHI ที่ 28.7 ซึ่งบ่งชี้ถึงระดับความหิวโหยที่ 'ร้ายแรง'
จากจำนวนประชากรอินเดียทั้งหมด 1.4 พันล้านคน พบว่ามีประชากรมากกว่า 190 ล้านคนกำลังเผชิญกับภาวะขาดสารอาหารและความหิวโหย ตัวเลขนี้สูงกว่าจำนวนประชากรในหลายประเทศทั่วโลก ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม การเข้าไม่ถึงอาหารที่มีคุณภาพ และการขาดแคลนทรัพยากรในบางพื้นที่ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความย้อนแย้งระหว่างความสำเร็จด้านการส่งออกและปัญหาความหิวโหยภายในประเทศ โดยคะแนน GHI ที่สูงของอินเดียสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น ระบบการกระจายอาหารที่ไม่ทั่วถึง การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านการเกษตร และความยากจนที่ยังคงแพร่หลายในหลายพื้นที่ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งยังส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรและความมั่นคงทางอาหารของประชากร
รู้หรือไม่ เศรษฐกิจอินเดียจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกจากรายงานของทาง Goldman Sachs ระบุว่าปี 2075 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะผงาดขึ้นเป็นเบอร์ 2 ของโลก ทิ้งห่างญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ด้วยแรงหนุนจากนวัตกรรม การลงทุนจากต่างชาติ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีภายในประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน อินเดียก็ยังคงเผชิญกับความขัดแย้งที่น่าฉงน เมื่อประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารเลี้ยงคนทั้งโลกได้ กลับมีประชากรจำนวนมากที่ยังคงหิวโหยและขาดแคลนอาหาร
ความย้อนแย้งนี้ชวนให้ตั้งคำถามถึงความสามารถในการกระจายความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจไปสู่ประชาชนทุกภาคส่วน และประสิทธิภาพของระบบการจัดการทรัพยากรอาหารภายในประเทศ ดังนั้นหากในอนาคตการก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของอินเดียในอนาคต อาจไม่ยั่งยืนหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาความมั่นคงทางอาหารภายในประเทศได้อย่างถาวร ความท้าทายนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่อินเดียต้องเร่งหาทางออก เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
แม้ว่าอินเดียจะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก และมีศักยภาพในการผลิตอาหารได้เพียงพอต่อความต้องการของประชากร แต่ความหิวโหยยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่กัดกินสังคมอินเดียอย่างต่อเนื่อง เหตุผลเบื้องหลังปัญหานี้ไม่ได้มีเพียงมิติเดียว หากแต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและเกี่ยวพันกับปัจจัยหลายประการ
การแก้ไขปัญหาความหิวโหยในอินเดียจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทาน การส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืน การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงการเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้อินเดียก้าวข้ามปัญหาความหิวโหยและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประชากรทุกคน
ความสำเร็จของอินเดียในฐานะผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลกในปี 2023 กลับถูกบดบังด้วยความจริงอันน่าเศร้าที่ว่า ประชากรจำนวนมากภายในประเทศยังคงเผชิญกับความหิวโหยและภาวะขาดสารอาหาร ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนผลผลิต แต่เป็นผลพวงจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนและฝังรากลึกในสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนที่ประเทศไทยไม่ควรมองข้าม บทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทยที่เราควรรู้
สำหรับปัญหาความหิวโหยในอินเดียเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้ประเทศไทยตระหนักถึงความสำคัญของความมั่นคงทางอาหาร การพัฒนาที่ยั่งยืน และความเป็นธรรมในสังคม การเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น และการนำบทเรียนเหล่านั้นมาปรับใช้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืนและเป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีอาหารที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อความต้องการ
ที่มา globalhungerindex, theglobalstatistics, undp.org, cnbc, economictimes, Usda และ orfonline