แรงเทขายหุ้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า นักลงทุนจำเป็นต้อง "กินยาขม" เป็นการเปรียบกับมาตรการภาษีที่สหรัฐฯประกาศกับประเทศต่างๆในโลก โดยเฉพาะจีน ที่ทรัมป์ระบุว่า จะไม่ทำข้อตกลงด้วยจนกว่าปัญหาขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ จะได้รับการแก้ไข
ดัชนีหุ้นหลักในเอเชียร่วงหนักในวันจันทร์ เพราะทรัมป์ ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอยจากแผนการเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ ส่งผลให้นักลงทุนประเมินว่า ความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงภายในเดือนพฤษภาคมนี้
ตลาดฟิวเจอร์สเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว โดยสะท้อนให้เห็นถึงการคาดการณ์ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงเกือบห้าครั้งในปีนี้ โดยแต่ละครั้งลดลง 0.25% ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐร่วงลงอย่างรุนแรง และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ปลอดภัย (safe havens)
ดัชนีฮั่งเส็ง (Hang Seng Index) ของฮ่องกงทรุดตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงบ่ายวันนี้ (7 เม.ย.) ตามเวลาในประเทศไทย โดยล่าสุดลดลงถึง 12.63% นับเป็นการร่วงลงที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี และสะท้อนถึงแรงเทขายครั้งใหญ่ที่ปะทุขึ้นอีกครั้งในตลาดหุ้นเอเชีย ส่วนตลาดหุ้นไทยปิดทำการวันนี้ รอลุ้นเปิดเช้าวันอังคารที่ 8 เมษายน
สำหรับตลาดหุ้นฮ่องกงนั้น เป็นการปรับฐานอย่างรุนแรงหลังจากช่วงเดือนกว่าที่ผ่านมาดัชนีฮั่งเส็งเคยปรับตัวขึ้นแรง โดยได้รับแรงหนุนจากกระแสคาดการณ์ว่า จีนจะได้อานิสงส์จากธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) เช่นเดียวกับโลกตะวันตก อีกทั้งในช่วงเวลาดังกล่าว ดัชนีฮั่งเส็งยังถูกซื้อขายในระดับราคาที่ “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี” ซึ่งทำให้นักลงทุนมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ
ข้อมูลในช่วงนั้นระบุว่า ค่า PE (มูลค่าหุ้นต่อกำไร) ของดัชนีฮั่งเส็งอยู่ที่เพียง 17 เท่า เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 25 เท่า ซึ่งยิ่งตอกย้ำว่าตลาดหุ้นฮ่องกงยังมี "ส่วนลด" อยู่พอสมควรเมื่อเทียบกับอดีต จึงดึงดูดแรงซื้อจากนักลงทุนที่มองหาโอกาสจากราคาที่ต่ำ
แต่อย่างไรก็ตาม การตอบโต้กันด้วยการเก็บภาษีนำเข้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนบรรยากาศการลงทุนไปอย่างสิ้นเชิง จีนซึ่งขณะนี้เผชิญกับภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ มากกว่า 50% ตอบโต้ด้วยการประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐเพิ่มเติมในอัตราเดียวกัน สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในตลาดการเงินโลก
ดัชนี CSI300 ของจีนร่วงกว่า 5% ขณะที่หุ้นเทคโนโลยี พลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มธนาคาร ไปจนถึงผู้ค้าปลีกออนไลน์ในฮ่องกงต่างถูกเทขายอย่างหนัก โดยเฉพาะหุ้นยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และ Tencent ที่ร่วงลงมากกว่า 10% ส่วนหุ้นของ HSBC ร่วงถึง 13% และ Standard Chartered ดิ่งกว่า 16% ถือเป็นการปรับตัวลงรายวันที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ
นอกจากนี้ ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม สะท้อนถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อเศรษฐกิจจีน ขณะที่ดัชนีความผันผวนของฮั่งเส็ง (VHSI) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม
นักลงทุนเริ่มประเมินความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยความกังวลนี้ส่งผลให้ตลาดฟิวเจอร์สสะท้อนโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 5 ครั้งภายในปีนี้ เริ่มเร็วที่สุดอาจภายในเดือนพฤษภาคม ซึ่งส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีแรงซื้อเข้ามาในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และกดดันค่าเงินดอลลาร์ให้ปรับตัวอ่อนลง
UBS เตือนผลกระทบจากวิกฤตการค้าอาจรุนแรงกว่าที่คาด โดย เทา หวัง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำจีนของ UBS ระบุว่า “แค่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนก็ยากอยู่แล้ว และตอนนี้ยิ่งยากขึ้นไปอีก”
การปรับฐานที่รุนแรงครั้งนี้ยังสร้างความไม่แน่ใจว่า ระดับราคาหุ้นในตอนนี้กำลัง “ถูก” จริงหรือไม่ หรืออาจกำลังกลับลงไปต่ำกว่าจุดเดิมอีกครั้ง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ และความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ