การเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) กำลังเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในโลกธุรกิจปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรต่างๆ เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบ ESG (Environment, Social, and Governance) ซึ่งครอบคลุมถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี
ล่าสุด ธนาคารกรุงศรีอยุธยาและบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) สองผู้นำในภาคธุรกิจไทย ได้ร่วมกันเผยวิสัยทัศน์และโรดแมปสู่การเงินเพื่อความยั่งยืน ภายในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมี นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เป็นผู้ร่วมเสวนา
กรุงศรี x ไทยยูเนี่ยน ผนึกกำลังขับเคลื่อน Sustainable Finance SX 2024
ในยุคที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กรอบแนวคิด ESG (Environment, Social, Governance) "การเงินเพื่อความยั่งยืน" (Sustainable Finance) ได้กลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเปลี่ยนผ่าน (Financing the Transition) โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันเสวนาในหัวข้อ "Carbon Neutrality Vision and Sustainable Finance Pathway" ภายในงาน Sustainability Expo 2024 (SX 2024) ซึ่งได้รับเกียรติจาก นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์และมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับ "การเงินเพื่อความยั่งยืน" ในฐานะเครื่องมือสำคัญที่จะนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
กรุงศรี เดินหน้าผลักดัน "ESG Finance" ตั้งเป้าปล่อยกู้ 1 แสนล้านบาท ภายในปี 2030
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในภาคธุรกิจ โดยอยู่ระหว่างการจัดทำแผน Transition Plan สำหรับ 2 อุตสาหกรรมหลักที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ได้แก่ อุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการขนส่ง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 โดยแผนงานดังกล่าวจะมุ่งเน้นการใช้ ESG Finance เป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือลูกค้าธุรกิจ ทั้งลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการลงทุนไปสู่ธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการขับเคลื่อน ESG Finance ธนาคารได้จัดตั้งแผนก ESG Finance ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนผ่านของลูกค้า ผ่านการให้คำปรึกษาเชิงลึกและการเชื่อมโยงเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ รวมถึงการบูรณาการความเชี่ยวชาญด้าน ESG จาก MUFG Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
"ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้กำหนดโรดแมป ESG Finance โดยมุ่งเน้นการสนับสนุน Green Finance หรือ การเงินเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อ ESG Finance จำนวน 1 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2564 ถึง 2573 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ภาคธุรกิจบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593" นายไพโรจน์ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมมือกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่น สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan: SLL) และ หุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond: SLB) ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมทางการเงินเพื่อความยั่งยืนครั้งแรกในประเทศไทย และปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม เช่น Sustainable Link Deleverage เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานด้าน ESG ของไทยยูเนี่ยนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กรุงศรี เดินหน้าส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้าน ESG พร้อมร่วมมือภาคส่วนต่างๆ ผลักดัน ESG Finance
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มุ่งมั่นส่งเสริมความรู้ความเข้าใจด้าน ESG ให้กับบุคลากรภายในองค์กร ลูกค้า และประชาชนทั่วไป ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ ESG Academy, ESG Awards และการจัดงานสัมมนา ESG Symposium ในปีนี้ นอกจากนี้ ธนาคารยังได้ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทยและธนาคารแห่งประเทศไทย โดยกรุงศรีและธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมเป็น Co-CEO Sponsor และ Lead Facilitator ในการจัดทำ Industry Handbook ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับสถาบันการเงินในการสนับสนุน ESG Finance ให้กับภาคธุรกิจและภาคประชาชน
นายไพโรจน์ ชื่นครุฑ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านกลยุทธ์และวางแผนธุรกิจองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า "ธนาคารมีหลักเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อสำหรับองค์กรและบุคคลทั่วไป เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้บริการ Sustainable Finance อย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น 4 ระดับ ดังนี้
- ระดับที่ 1: ธุรกิจที่ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อหรือสนับสนุนทางการเงินได้ เนื่องจากมีผลกระทบร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตหรือจำหน่ายสารกัมมันตรังสี หรือ โรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่มีแผนลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยธนาคารตั้งเป้าหมายลดการสนับสนุนทางการเงินแก่โรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินให้เหลือศูนย์ภายในปี 2573
- ระดับที่ 2: ธุรกิจที่ต้องพิจารณาความเสี่ยงในระดับสูงมาก เนื่องจากมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการก่อสร้างเขื่อน
- ระดับที่ 3: ธุรกรรมที่ต้องพิจารณาอย่างใกล้ชิด เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บสารอันตรายหรือการรีไซเคิล
- ระดับที่ 4: ธุรกิจที่ธนาคารส่งเสริมและสอดคล้องกับพันธกิจของกรุงศรี โดยจะให้การสนับสนุน ESG Finance แก่ธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่การเงินที่ยั่งยืนหรือเริ่มดำเนินงานตามหลัก ESG"
ไทยยูเนี่ยน เดินหน้ากลยุทธ์ SeaChange 2030 มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero พร้อมรับมือความท้าทาย Scope 3
นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ. ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมาตั้งแต่ปี 2559 โดยในระยะแรกมุ่งเน้นที่ธุรกิจหลักอย่างทูน่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการดูแลแรงงาน ต่อมาในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนได้ประกาศกลยุทธ์ SeaChange 2030 ซึ่งครอบคลุมขอบเขตการดำเนินงานด้านความยั่งยืนไปยัง Scope 3 โดยพิจารณาตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมถึงปลาชนิดอื่นๆ และธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (Aquaculture) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลี้ยงกุ้ง
"ในปีนี้ ไทยยูเนี่ยน ได้ริเริ่มโครงการ low-carbon shrimp เพื่อสร้างความมั่นใจว่ากุ้งที่ส่งออกไปยังต่างประเทศเป็นกุ้งที่ผลิตด้วยกระบวนการที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งบริษัทได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งหันมาใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" นายยงยุทธ กล่าว
ไทยยูเนี่ยน ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 42% ภายในปี 2573 โดยเทียบกับปีฐาน 2564 (2021 baseline) และมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน scope 1 และ 2 ได้แล้ว 15% จากเป้าหมาย 42% ในปี 2573 อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานในส่วนของ scope 3 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของทั้งห่วงโซ่อุปทาน สามารถลดได้เพียง 2% ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่าเป้าหมาย
"การเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนต้องอาศัยเงินลงทุน ดังนั้น โจทย์สำคัญคือการทำให้เกษตรกรและผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทานสามารถเข้าถึง Sustainable Finance ได้ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานกำกับดูแล (Regulator) และภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเราต้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหานี้ให้สำเร็จภายใน 1-2 ปีข้างหน้า" นายยงยุทธ กล่าวเสริม
ไทยยูเนี่ยน ชู Sustainable Finance ตั้งเป้าลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เป็นเครื่องมือเร่ง ESG พร้อมเปิดตัวโครงการ Internal Carbon Fee
นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กล่าวเสริมว่า ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Finance) จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ภาคธุรกิจเร่งดำเนินงานด้าน ESG ให้เร็วขึ้น โดยองค์กรที่ไม่ดำเนินงานตามแนวทาง ESG อาจเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งไทยยูเนี่ยนได้จัดสรรงบประมาณจำนวน 200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาด้านความยั่งยืนในช่วงปี 2565-2573
ในปี 2568 ไทยยูเนี่ยน มีแผนริเริ่มโครงการ Internal Carbon Fee โดยกำหนดเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสำหรับโรงงานแต่ละแห่ง หากโรงงานใดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดจะต้องจ่ายค่าปรับ ในขณะเดียวกัน โรงงานที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ตามเป้าหมายจะได้รับรางวัล ปัจจุบัน ไทยยูเนี่ยน มีโรงงานผลิต ศูนย์นวัตกรรม และศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) รวม 17 แห่งทั่วโลก และมีพนักงานกว่า 40,000 คน
นายยงยุทธ กล่าวทิ้งท้าย เชิญชวนทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่น่าอยู่ โดยเข้าร่วมกิจกรรม แลกเปลี่ยนแนวคิด และเรียนรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนจากวิทยากร ศิลปิน และบุคคลต้นแบบ (Idol) จากหลากหลายสาขาอาชีพ พร้อมสัมผัสกับนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตในยุค "โลกเดือด" (Global Boiling) ได้อย่างสมดุล ภายในงาน Sustainability Expo (SX2024) ซึ่งจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC)
สรุป การร่วมมือกันระหว่างธนาคารกรุงศรีอยุธยาและไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาคธุรกิจไทยในการร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยใช้ Sustainable Finance เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ ความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการเงิน และประชาชน เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศไทยและโลกของเรา