แอปเปิลจัดงาน Apple Worldwide Developers Conference: WWDC เมื่อคืนที่ผ่านมา อวดโฉมอุปกรณ์-ระบบปฏิบัติการ (OS) รุ่นใหม่ ให้สาวกได้ร้องกรี๊ดกันอีกครั้ง (โดยเฉพาะคนที่เพิ่งถอย Macbook ไป และคนที่ใช้ไอโฟน 3 รุ่นที่กำลังจะถูกปลดระวาง!?) รวมทุกไฮไลต์เด็ดๆ ไว้ให้แล้ว
สำหรับสาวกแอปเปิลและผู้ที่สนใจในโลกไอที จะต้องไม่พลาดอีเวนต์ใหญ่ของแอปเปิล 2 งาน นั่นคือ
-Apple Event : อีเวนต์เปิดตัวสินค้าไอทีใหม่จากแอปเปิล ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับบรรดาสาวกแอปเปิล โดยจะจัดขึ้นประมาณ 1 - 3 ครั้งในแต่ละปี ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นคือเมื่อเดือนมีนาคม ปี2022 ที่ผ่านมา ซึ่งแอปเปิลได้เปิดตัว iPhone SE 5G ดีไซน์ใหม่, iPhone 13 สีใหม่ และ iPad Air ที่ใช้ชิพ M1, และเครื่อง Mac Studio รุ่นใหม่
-WWDC : อีเวนต์ที่แอปเปิลจัดขึ้นเพื่อเปิดตัว สินค้า ซอฟต์แวร์ รวมถึงระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมิถุนายน และยังมีจุดประสงค์เพื่อให้บริษัทอื่นๆ ที่พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อมาใช้ร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆ ของแอปเปิล ได้มาอัพเดตความเคลื่อนไหวของระบบนิเวศของแอปเปิลด้วย
โดยในงานยังมีห้องทดลอง วิศวกรไอทีจากแอปเปิล คอยให้ผู้ร่วมงานได้ลองเล่นกับนวัตกรรมต่างๆ พร้อมมีการบรรยายเชิงลึกสำหรับสายไอทีตัวจริงจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย
สำหรับงาน WWDC 2022 นี้มีไฮไลต์เด็ดๆ ที่เหล่าสาวกแอปเปิลไม่ควรพลาด ดังนี้
หลังจากที่เปิดตัว Macbook Pro โมเดลใหม่ไปเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2021 มาในครั้งนี้ แอปเปิลเปิดตัวทั้ง Macbook Air และ Macbook Pro พร้อมกันในรวดเดียว ใช้ชิพ M2 รุ่นใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพระบบประมวณผลกลาง (CPU) แรงกว่า M1 ตัวเดิมที่ว่าแรงแล้ว 18% ระบบประมวลผลกราฟฟิก (GPU) แรงกว่าเดิม 35% แต่ประหยัดพลังงานกว่าเดิม
โดย Macbook Air นั้นได้สลัด “ทรงก้อนชีส (Cheese-wedge)” (ด้านหนึ่งจะหนากว่าอีกด้านหนึ่ง มองดูเหมือนเป็นก้อนชีสในทอมแอนด์เจอร์รี่) อันเป็นเอกลักษณ์ทิ้งไป กลายเป็นดีไซน์แบบเรียบหรูดูแพง ที่มีความหนาของเครื่องเพียง 11.3 มิลลิเมตร (ประมาณความยาวเล็บนิ้วชี้ของเราเท่านั้น!) มาใน 4 สีสวยแพง Silver, Starlight, Space gray และ Midnight พร้อม TouchID ที่มาบนคีย์บอร์ด Magic Keyboard
นอกจากนี้ อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่สาวกรอคอยคือ ‘กล้อง 1080p’ ที่ให้มาใน Macbook Air รุ่นใหม่นี้แล้ว ตอบโจทย์ยุคที่ต้องประชุมออนไลน์แบบในปัจจุบัน แถมดีไซน์ยังเป็นรูปทรงรอยบาก (Notch) เหมือนในไอโฟน เพื่อเพิ่มพื้นที่จอด้วย และกลับมาใช้ ‘MagSafe’ หรือสายชาร์จแบบแม่เหล็กอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกนำออกไปจาก Macbook หลายรุ่นก่อนหน้านี้ พร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ที่สามารถชาร์จแบตเตอรีจาก 0 ถึง 50% ได้ภายใน 30 นาที
ส่วน Macbook Pro ที่เพิ่งยกเครื่องรุ่นเทพ M1 Pro และ M1 Max ไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ไม่ได้มีอะไรหวือหวา เพียงเพิ่มรุ่นที่ใช่ชิพ M2 ซึ่งเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ที่ใช้ชิพ M1 แล้ว Macbook Pro M2 จะมีประสิทธิภาพการประทวณผลของ CPU เพิ่มขึ้นถึง 40%
Macbook Air M2 สนนราคาเริ่มต้นที่ 43,900 บาท (40,400 บาท หากใช้ส่วนลดสำหรับนักเรียน-นักศึกษา) ราคาสูงกว่าเปิดตัวรุ่นก่อน 11,000 บาท ส่วน Macbook Pro M2 สนนราคาเริ่มต้นที่ 46,900 บาท (43,900 บาท หากใช้ส่วนลดสำหรับนักเรียน-นักศึกษา) ราคาสูงกว่าเปิดตัวรุ่นก่อน 4,000 บาท เตรียมวางจำหน่ายเร็วๆ นี้
เดินทางมาถึงรุ่นที่ 16 กันแล้วสำหรับระบบปฏิบัติการของ ไอโฟน สมาร์ทโฟนเรือธงของแอปเปิล ที่นับวัน หน้าตาจะละม้ายคล้ายกับแอนดรอยด์เข้าไปเรื่อยๆ (ตามที่แฟนคลับชอบแซว) ใน iOS16 มีฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจดังนี้
หน้าจอ Lock screen ที่สามารถปรับแต่งได้มากยิ่งขึ้น ทั้งสี ฟ้อนต์ ของวันที่และนาฬิกา รวมถึงสามารถเพิ่ม Widget ที่อยู่บนหน้าจอหลัก มาไว้ที่หน้าจอล็อคได้แล้ว ทำให้สามารถดูข้อมูลบางอย่าง เช่น สภาพอากาศ ราคาหุ้น ผลคะแนนฟุตบอล ได้ตั้งแต่ยังไม่ปลดล็อคหน้าจอ
ผู้ใช้สามารถกดแก้ไข หรือยกเลิก ข้อความใน ‘iMessage’ ได้แล้ว
ฟีเจอร์ ‘Live Text’ สามารถช่วยแปล และแทนที่คำศัพท์ภาษาต่างประเทศบนรูปถ่ายของเราได้แล้ว ช่วยให้ผู้ใช้สามารถอ่านเมนู ป้าย หรือหนังสือภาษาต่างๆ ได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
โดย iOS16 ที่กำลังจะเปิดให้อัพเดตนี้ สามารถติดตั้งได้เฉพาะบนไอโฟน 8 ขึ้นไป หมายความว่า iPhone 6s, 7 และ SE รุ่นแรก กำลังจะถูกแอปเปิลปลดประจำการ หลังจากรับใช้สาวกไอโฟนมานานกว่า 7 ปี
นอกจากนี้ ฟีเจอร์ “CarPlay” ยังได้รับการอัพเกรดใหม่ ให้สามารถแสดงผล และควบคุมหลากหลายฟังก์ชันของรถยนต์ได้ รองรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีขนาดจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น บางคันยาวเต็มหน้าคอนโซลรถ (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่แบรนด์รถยนต์แต่ละค่าย ว่าจะร่วมมือกับแอปเปิลมากน้อยเพียงใด) และนี่อาจจะเป็นการทดสอบระบบของ “Apple Car” ว่าที่รถยนต์ไฟฟ้าของแอปเปิล ที่กำลังจะออกมาเขย่าวงการรถยนต์ก็เป็นได้
ด้าน iPadOS เองก็ได้รับการอัพเกรดเพิ่มเติมเช่นกัน โดยนอกเหนือจากฟีเจอร์ใหม่ที่คล้ายกับของ iOS16 แล้ว จุดเด่นของระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่นี้คือการเพิ่มการจัดการแอพที่มีหน้าตาคล้ายกับบนแลปท็อป ชื่อ ‘Stage Manager’ ซึ่งจะช่วยให้สามารถทำงานแบบหลายแอพ หลายหน้าตาได้สะดวก รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ทางด้านผู้ใช้งาน Macbook, MacPro, iMac, Mac Mini จะได้รับการอัพเดตระบบปฏิบัติการเป็น ‘MacOS Ventura’ ซึ่งมีความน่าสนใจดังนี้
มี Stage Manager เช่นเดียวกับ iPadOS ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานทำงานพร้อมกันหลายโปรแกรมได้ยังคล่องตัว โดยสามารถรวมโปรแกรมไว้ด้วยกันเป็นกรุ๊ป เพื่อให้ไม่สับสนในการทำงานได้ด้วย
เครื่องมือค้นหา ‘Spotlight’ เวอร์ชันใหม่ที่ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น สามารถดูตัวอย่างไฟล์ได้ก่อนโดยไม่ต้องเสียเวลาเปิด-ปิดไฟล์
แอพ Mail ที่สามารถยกเลิกการส่ง ตั้งเวลาส่ง และตั้งเวลาเตือนได้ และการค้นหาภายในแอพที่ฉลาดมากยิ่งขึ้น
ระบบ Passkeys ที่ให้ผู้ใช้สามารถใช้การปลดล็อคแบบ biometrics (เช่น สแกนหน้า สแกนนิ้ว) ในการล็อกอินบัญชีทั้งของแอปเปิล และผู้ให้บริการเจ้าอื่นอย่าง Google และ Microsoft ได้แล้ว โดยไม่ต้องเสียเวลาใส่รหัส
และอีกหนึ่งไฮไลต์ของ MacOS คือการใช้ ‘ไอโฟน’ ของคุณมาเป็นกล้องเว็บแคมได้แล้ว อันเป็นการนำกล้องไอโฟนมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์พิเศษ “Desk View” ที่สามารถจับภาพหน้าของผู้ใช้ กับกิจกรรมที่อยู่บนโต๊ะ แล้วแสดงผลพร้อมกัน ได้อีกด้วย เหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการสอน หรือรีวิวสินค้าอย่างยิ่ง
อุปกรณ์สวมใส่ของแอปเปิลอย่าง ‘Apple Watch’ ก็ได้รับการอัพเดตเช่นกัน โดยมีทั้งการอัพเดตหน้าตานาฬิกาใหม่ 4 แบบ ได้แก่ Astronomy, Lunar, Play time, และ Metropolitan ปรับการแจ้งเตือนให้แสดงผลเป็นแถบ (banner) แทนที่จะกินพื้นที่ทั้งจอ ระบบการวัดผลการเคลื่อนไหวแบบใหม่ ที่สามารถวัดทั้งการเคลื่อนที่ขึ้น - ลง ของร่างกาย, ความกว้างของก้าว, และระยะเวลาที่เท้าของคุณสัมผัสพื้น
ในด้านการนอนหลับ Sleep Tracking จะวัดชีพจรและการขยับ เพื่อประมวณผลคุณภาพการนอนของคุณ และยังสามารถบันทึกประวัติ ‘ภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว’ ที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะของผู้ใช้ได้อีกด้วย
ส่วน Fitness App บน iOS ก็สามารถใช้งานได้ แม้ไม่มี Apple Watch
ที่มา Apple, TechCrunch, Indianexpress
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Apple เตรียมเพิ่มกำลังการผลิตนอกประเทศจีน หลังรัฐบาลจีนล็อกดาวน์เข้ม
Apple เอาด้วย! เตรียมออกแว่น AR/VR ราคาเปิดตัวจ่อทะลุ "7 หมื่น" แพงกว่า Meta Quest 2 เท่า