ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในปี 2025 ว่ามีโอกาสปรับลดจากระดับ 2.25% ในปี 2024 ลงสู่ระดับ 1.50% โดยมีปัจจัยสำคัญ 5 ประการที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ดังนี้:
เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตแบบกระจุกตัว ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะครัวเรือนในภาคเกษตร และกลุ่ม SMEs ในต่างจังหวัดที่ไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ยอดขายที่ลดลงอย่างต่อเนื่องและความเสี่ยงด้านเครดิตสูงยิ่งทำให้ธุรกิจกลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่อได้ยาก แม้จะมีมาตรการช่วยเหลือ เช่น การแจกเงินในกลุ่มเปราะบางช่วงปลายปี 2024 แต่เม็ดเงินดังกล่าวอาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
ภาคการผลิตยังเผชิญแรงกดดันจากยอดขายที่ลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากความต้องการที่ลดลงในปี 2024 แม้ว่าตลาดรถยนต์อาจฟื้นตัวได้ในช่วงกลางปี 2025 แต่ความเปราะบางของกำลังซื้อในกลุ่มแรงงานและความเสี่ยงจากสงครามการค้ายังคงส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และเคมีภัณฑ์
ในปี 2025 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ 1.0% ซึ่งแตะกรอบล่างของเป้าหมายที่ 1.0%-3.0% การอ่อนตัวของอุปสงค์ในหลายภาคส่วน รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มลดลง อาจกดดันให้ราคาสินค้าปรับลดลงตามไปด้วย นอกจากนี้ การแข่งขันจากสินค้าราคาถูกที่นำเข้าจากจีนยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย
เศรษฐกิจไทยเผชิญข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และการลงทุนภาคเอกชนที่ต่ำ ส่งผลให้ศักยภาพการเติบโตในระยะยาวอาจถูกจำกัดอยู่ที่ 2.50%-3.00% ในอีก 5 ปีข้างหน้า แม้การลดดอกเบี้ยนโยบายจะไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ได้โดยตรง แต่ก็อาจช่วยกระตุ้นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรองรับการเติบโตในระยะยาว
สงครามการค้าระหว่างประเทศอาจลุกลามสู่สงครามค่าเงิน ซึ่งจะเพิ่มแรงกดดันให้ประเทศไทยจำเป็นต้องปล่อยให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้า การลดดอกเบี้ยสามารถเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินอ่อนค่าลง แต่ก็ต้องระวังผลกระทบจากการถูกกล่าวหาว่าบิดเบือนค่าเงินโดยประเทศคู่ค้า
จากปัจจัยข้างต้น คาดว่ากนง. อาจเริ่มลดดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปี 2025 และอาจจบรอบการลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่สามของปี อย่างไรก็ตาม หากมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอก เช่น เงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ หรือการผ่อนคลายสงครามการค้า ดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดเพียงเล็กน้อยเหลือ 1.75% และสิ้นสุดรอบการลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่สอง
เศรษฐกิจไทยในปี 2025 เผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจึงเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่กนง. อาจใช้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่เปราะบาง ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมีความพร้อมในการใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว