ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย เปิดเผยว่า สองวันที่ผ่านมา รัสเซียใช้โดรน 100 ลำ และขีปนาวุธอีก 90 ลูกถล่มยูเครน เพื่อตอบโต้ยูเครนที่ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลโจมตีดินแดนรัสเซีย นอกจากนี้ ปูตินยังขู่ที่จะโจมตีกรุงเคียฟ เมืองหลวงของยูเครน ด้วยขีปนาวุธรุ่นใหม่ของประเทศที่มีชื่อว่า "โอเรชนิค" (Oreshnik) อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า รัสเซียมีขีปนาวุธโอเรชนิกเพียงจำนวนจำกัด เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและต้องใช้เวลาในการผลิตเพิ่มเติม
การโจมตีอย่างหนักหน่วงของรัสเซียในช่วงสองวันที่ผ่านมา พุ่งเป้าไปที่เครือข่ายพลังงานของยูเครน ส่งผลทำให้เกิดไฟดับเป็นวงกว้างในยูเครนประชาชนกว่า 1 ล้านคนในยูเครนต้องอยู่ในภาวะไม่มีไฟฟ้าใช้ นอกจากนี้ เมื่อเกิดการโจมตี เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องตัดไฟในบางพื้นที่เพื่อความปลอดภัย
การโจมตีของรัสเซียในคืนที่ผ่านมายังพุ่งเป้าไปที่หลายเมืองทั่วยูเครน รวมถึงโอเดสซา คาร์คีฟ และ กรุงเคียฟเองก็ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตี แต่ทางการยูเครนรายงานว่า สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธที่พุ่งเป้ามายังเมืองหลวงได้ทั้งหมด ขณะที่ฝ่ายบริหารทหารของกรุงเคียฟระบุว่า การโจมตีในพื้นที่ใช้เวลานานเกือบ 9 ชั่วโมงครึ่ง
ด้านประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกีของยูเครน กล่าวหาว่า รัสเซียได้ใช้กระสุนแบบคลัสเตอร์โจมตีเป้าหมายพลเรือนและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน พร้อมเตือนว่า กระสุนชนิดนี้เป็นอาวุธที่อันตรายอย่างยิ่งต่อประชาชน เซเลนสกียังวิจารณ์ด้วยว่า ปูตินไม่มีความตั้งใจที่จะยุติสงครามจริง
ขีปนาวุธตัวใหม่ของรัสเซีย "โอเรชนิค"
รัสเซียยืนยันว่า ได้ใช้ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกที่มีชื่อว่า โอเรชนิค โจมตีโรงงานในเมืองดนิโปรของยูเครน เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยคาดว่าเป็นขีปนาวุธรุ่นดังกล่าว เป็นรุ่นย่อยภายในกลุ่ม RS-26 "รูเบซ" และถูกยิงจากสนามฝึกคาปุสตินยาร์ในแคว้นแอสตราคาน ซึ่งอยู่ห่างจากเป้าหมายในเมืองดนิโปรประมาณ 510 ไมล์ หรือราว 821 กิโลเมตร
รัฐบาลยูเครนเตือนว่า รัสเซียอาจกำลังสะสมขีปนาวุธร่อนและขีปนาวุธวิถีโค้ง เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั่วประเทศอย่างเป็นระบบในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
ขณะที่ก่อนหน้านั้นก็มีการถกเถียงกันอย่างหนักว่า ขีปนาวุธที่รัสเซียใช้ในวันที่ 21 พฤศจิกายนคือขีปนาวุธข้ามทวีปหรือไม่ แต่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันว่า ไม่ใช่ เพราะน่าจะเป็นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกจริง
ในคลิปวิดีโอที่บันทึกการโจมตีในดนิโปรพบว่า ขีปนาวุธได้ปล่อยหัวรบย่อย (sub-munitions) ออกมา 6 ลูก แต่ละลูกแตกออกเป็นหัวรบย่อยเล็กอีก 6 ลูก ทำให้สามารถโจมตีเป้าหมายได้ 36 จุด หัวรบเหล่านี้ปรากฏให้เห็นเป็นแสงสว่างที่พุ่งลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่า อาจเป็นเพียงหัวรบแบบพลังงานจลน์ (kinetic energy weapons)
เป้าหมายของการโจมตีคือโรงงาน PA Pivdenmash ในดนิโปร ซึ่งผลิตมอเตอร์จรวดและเทคโนโลยีอวกาศ โดยโรงงานนี้เคยเป็นศูนย์กลางการผลิตขีปนาวุธในยุคสงครามเย็นมาก่อน
รัสเซียยังเน้นโจมตีตอบโต้ยูเครนได้ไฟเขียวจากชาติตะวันตก
สถานการณ์รบในยูเครนเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติการใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลในรัสเซีย นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ พันธมิตรสำคัญของยูเครน ก่อนที่ไบเดนจะลงจากตำแหน่งในเดือนมกราคม ปี 2025
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนถัดไปจะทำเช่นไรต่อ โดยทรัมป์เองก็เคยให้คำมั่นว่า เขาจะยุติสงครามให้ได้ภายใน 24 ชั่วโมงหลังเข้ามารับตำแหน่ง
ทั้งนี้ ยูเครนมีขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS ของสหรัฐฯ ซึ่งยิงได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร และยังมี Storm Shadow ขีปนาวุธตัวอื่นจากฝรั่งเศสและอังกฤษที่มีระยะการยิงใกล้เคียงกัน