กบฏยึดซีเรียสำเร็จ หลังตีเมืองหลวงแตก ประธานาธิบดีหนีออกนอกประเทศแล้ว
กองกำลังฝ่ายกบฏในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย ประกาศว่ากรุงดามัสกัสเป็นอิสระจากการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด หลังจากกองกำลังรัฐบาลล่าถอยออกจากเมือง
คอนเทนต์แนะนำ
มีรายงานว่า ประธานาธิบดีอัสซาดได้หลบหนีออกจากกรุงดามัสกัสโดยเครื่องบินไปยังจุดหมายที่ไม่ทราบแน่ชัด และก่อนหน้านั้นมีรายงานการได้ยินเสียงปืนในย่านใจกลางของกรุงดามัสกัส ขณะที่กองกำลังกบฏต่อต้านการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการโจมตีอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ
ทางด้าน ฮาดี อัล-บาห์รา ผู้นำฝ่ายค้านของซีเรียและผู้นำพันธมิตรแห่งชาติของการปฏิวัติ เปิดเผยกับสื่อว่าระบอบของประธานาธิบดีอัสซาดได้ล่มสลายลงแล้วเช่นเดียวกับยุคมืดในประวัติศาสตร์ของซีเรีย โดย อัล-บาห์รา ยังได้เน้นย้ำกับประชาชนว่าสถานการณ์ในกรุงดามัสกัสปลอดภัยดี
ขณะเดียวกันกองกำลังกบฏได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด โดยผู้นำกลุ่มติดอาวุธ HTS ได้ประกาศผ่านทางเทเลแกรมว่า ห้ามกองกำลังทหารในเมืองเข้าใกล้ ‘หน่วยงานสาธารณะ’ ในกรุงดามัสกัส และชี้แจงว่าหน่วยงานเหล่านั้นจะยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของอดีตนายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีการมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ
ทั้งนี้ สงครามกลางเมืองในซีเรียเริ่มต้นขึ้นในปี 2011 ส่งผลทำให้ชาวซีเรียหลายล้านคนถูกบังคับให้หนีออกจากประเทศ และตามรายงานของ UNHCR ระบุว่าซีเรียต้องเผชิญกับวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ที่สุดในโลก โดยประเมินว่ามีชาวซีเรียประมาณ 6.6 ล้านคนที่ถูกบังคับให้ต้องหลบหนีจากบ้านตั้งแต่ปี 2011
นับตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แนวรบในซีเรียเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยกบฏที่นำโดยกลุ่มฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม (Hayat Tahrir al-Sham) หรือ HTS ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ควบคุมพื้นที่จังหวัดอิดลิบ บริเวณชายแดนตุรกี ได้เปิดฉากรุกครั้งใหญ่และดำเนินการกวาดล้างกองกำลังของรัฐบาลซีเรียในหลายพื้นที่
ย้อนจุดกำเนิดกลุ่มกบฎและสงครามกลางเมือง
สำหรับกลุ่ม HTS ที่นำการโจมตีครั้งนี้ มีต้นกำเนิดจากอัลกออิดะห์ แม้ว่ากลุ่มจะแยกตัวออกมาตั้งแต่ปี 2016 อย่างไรก็ตาม HTS ยังคงถูกจัดให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ตุรกี และสหราชอาณาจักร ขณะที่รัฐบาลซีเรียยังคงเรียกกลุ่มกบฏทั้งหมดว่า “ผู้ก่อการร้าย”
การสู้รบในซีเรียเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี 2011 ในการปฏิวัติอาหรับสปริง ซึ่งมีการลุกฮือขึ้นเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในหลายประเทศแถบภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งสงครามกลางเมืองของซีเรียได้ดำเนินมาอย่างยาวนาน
ตลอดทศวรรษของสงคราม ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ เพราะตลอดมา เขาเตรียมตัวรับมือกับการแบ่งแยกประเทศ เพื่อปกป้องระบอบการปกครองที่เขาสืบทอดมาจากบิดา โดยอัสซาดพึ่งพาพันธมิตรสำคัญอย่างรัสเซีย อิหร่าน และฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอน ที่ให้การสนับสนุนเขาในการสู้รบกับกลุ่มกบฏหลากหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ไปจนถึงกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และประเทศในอ่าวอาหรับ
