นับจากเริ่มมีการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างหนักในเมียนมา บรรดามิจฉาชีพออนไลน์ ที่ดำเนินการโดยจีนสีเทา จึงเริ่มย้ายฐานปฏิบัติการไปยังรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา เนื่องจากรัฐบาลทหารสูญเสียอิทธิพลในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้ามาบังคับใช้กฎหมายได้เหมือนเมื่อก่อน
แต่การย้ายฐานหนีของแก๊งมิจฉาชีพ แสดงถึงความยากลำบากของบรรดาเจ้าหน้าที่เมียนมา ที่ต้องเผชิญในการจัดการกับแก๊งเหล่านี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายค้ามนุษย์ขนาดใหญ่ที่มีเหยื่อมากกว่า 150,000 คนต่อปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชาวบ้านเมียนมาให้ข้อมูลกับสำนักข่าว RFA ภาคภาษาเมียนมาว่า แก๊งชาวจีนสีเทาที่เคยตั้งฐานอยู่ในรัฐฉานและรัฐกะเหรี่ยง รวมถึงพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำในลาวตอนเหนือ เริ่มย้ายมายังเมืองพญาตองซู ใกล้ชายแดนไทย-รัฐมอญ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้เข้ามาบริหารจัดการใดๆมานานเกือบสองปี
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลทหารที่เคลื่อนไหวอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเผยว่า แม้พวกเขาจะทราบถึงการหลั่งไหลเข้ามาของแก๊งมิจฉาชีพจีนในพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในขณะนี้ และที่สำคัญ กลุ่มกบฏจำเป็นต้องหาเงินทุนมาสนับสนุนตนเองและซื้ออาวุธเพื่อสู้กับรัฐบาลทหาร
รัฐบาลทหารถอนกำลังออกจากเมืองพญาตองซูในเดือนมกราคมปีที่แล้ว โดยกองกำลังรัฐบาลในพื้นที่แทบไม่ออกนอกค่ายทหาร และไม่มีเจ้าหน้าที่พลเรือนของรัฐบาลหลงเหลืออยู่เลย และขณะนี้มีหลายกลุ่มกบฏ เช่น สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) กองทัพประชาธิปไตยกะเหรี่ยงเพื่อมนุษยธรรม (DKBA) และพรรคมอญแห่งรัฐใหม่ (NMSP) ร่วมมือกันในการบริหารพื้นที่ดังกล่าว
ปัญหาแก๊งหลอกหลวงออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่ชายแดนระหว่างไทย เมียนมา และจีน โดยมีการล่อลวงประชาชนจากทั้งสามประเทศให้ตกเป็นเหยื่อ และต่อมาถูกบังคับใช้แรงงานในกิจกรรมหลอกลวงทางออนไลน์
ธุรกิจเหล่านี้บังคับให้แรงงานที่ถูกค้ามนุษย์ โทรศัพท์หาคนในภูมิภาคเอเชีย เพื่อโน้มน้าวให้ลงทุนในแผนการหลอกลวงหรือการลงทุนปลอม
ในปี 2023 เจ้าหน้าที่ทั้งจากรัฐบาลทหารเมียนมาและกองกำลังกบฏ ได้ผลักดันผู้คนหลายหมื่นคนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ออกนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับการบังคับใช้แรงงาน การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เริ่มรุนแรงขึ้น หลังจากคาสิโนจำนวนมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต้องปิดตัวลงเพราะการระบาดของโควิด-19
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กองกำลังกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดน (BGF) ซึ่งมีฐานที่มั่นในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สั่งให้แก๊งหลอกลวงอพยพออกไปจาก "เมืองใหม่ชเวโก๊กโก่" ภายในระยะเวลา 6 เดือน คือตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 ตุลาคม
ชาวบ้านคาดการณ์ว่า น่าจะมีชาวจีนราว 600 คนที่เป็นผู้ดำเนินการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองใหม่ชเวโก๊กโก่ พร้อมกับลูกจ้างชาวเมียนมา ได้ย้ายถิ่นฐานไปยังเมืองพญาตองซูแทน
การเข้ามาของแก๊งจีนเทา ทำให้ค่าเช่าอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอในเมืองพญาตองซูแพงขึ้นถึง 5 เท่า โดยชาวบ้านเล่าว่า ชาวจีนยอมจ่ายค่าเช่าแพงกว่าจำนวนเงินที่คนท้องถิ่นสามารถจ่ายได้ และแก๊งเหล่านั้นเข้ามาเปิดธุรกิจใหม่ๆ เช่น ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย และเว็บไซต์การพนันออนไลน์
ขณะเดียวกัน อดีตลูกจ้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์เล่าว่า ยังคงมีแก๊งหลอกลวงบางส่วนปฏิบัติการอยู่ในเมืองใหม่ชเวโก๊กโก่ ตามแนวริมแม่น้ำตองยิน หรือไทยเรียกว่าแม่น้ำเมย รวมถึงใกล้ชายแดนพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ แม้จะมีคำสั่งให้ย้ายออกจากพื้นที่ดังกล่าวโดยกองกำลังกะเหรี่ยงพิทักษ์ชายแดนก็ตาม
แม้ว่าทางการไทยจะเพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามแก๊งหลอกลวงตามแม่น้ำเมย แต่แก๊งเหล่านี้ยังคงมีอิทธิพลในฝั่งเมียนมาของแม่น้ำดังกล่าว นักวิเคราะห์การเมืองชาวกะเหรี่ยงมองว่า แก๊งหลอกลวงใช้ประโยชน์จากการที่พื้นที่ต่างๆของเมียนมา ไม่มีรัฐบาลบริหารท้องถิ่น ขณะที่ชาวบ้านในเมืองพญาตองซูต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับการ “เพิ่มขึ้นของการค้ามนุษย์และอาชญากรรม” ในพื้นที่