ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการหารือไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและผู้แทนระดับสูงจาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย เมียนมา ลาว จีน อินเดีย และบังกลาเทศ ที่กรุงเทพมหานครเมื่อวานนี้ (19 ธันวาคม) เพื่อหารือแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาที่เป็นข้อห่วงกังวลร่วมกัน รวมถึง การหาทางออกสำหรับสถานการณ์ในเมียนมา
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยด้วยว่า รัฐมนตรีต่างประเทศที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลทหารเมียนมา ได้บรรยายสรุปให้เจ้าหน้าที่จาก 5 ประเทศเพื่อนบ้านฟัง เกี่ยวกับแผนการจัดการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2025 หลังถูกเลื่อนออกไปหลายครั้ง โดยระบุว่า ขณะนี้มีการวางแผน และมีความคืบหน้าในการเตรียมการเลือกตั้งไปแล้ว เช่น การสำรวจประชากรและการลงทะเบียนของ 53 พรรคการเมือง
รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยยังระบุด้วยว่า เมียนมามีความตั้งใจที่จะเชิญผู้สังเกตการณ์เลือกตั้งจากต่างประเทศ เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน เข้าร่วมด้วย
ทั้งนี้ กองทัพเมียนมายึดอำนาจในปี 2021 โดยอ้างว่าการเลือกตั้งในปี 2020 ซึ่งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนางอองซานซูจี เต็มไปด้วยการทุจริต แต่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือสนับสนุน
แต่เมียนมาอยู่ในภาวะความไม่สงบตั้งแต่ต้นปี 2021 เมื่อกองทัพยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน และปราบปรามการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยที่ตามมา ทำให้เกิดกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธทั่วประเทศลุกฮือขึ้น
สัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวของกบฏหลายกลุ่ม ทั้งกองกำลังติดอาวุธอาระกัน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ เข้ายึดฐานทัพ BGP5 หรือกองกำลังตำรวจป้องกันชายแดน ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของกองทัพรัฐบาลในพื้นที่รัฐยะไข่ที่ติดกับบังกลาเทศ ส่งผลทำให้ชายแดนเมียนมาบริเวณรัฐยะไข่ติดกับบังกลาเทศ ซึ่งกินความยาวทั้งหมด 270 กิโลเมตร ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของกองกำลังชาติพันธุ์อย่างสมบูรณ์
ขณะที่สถานการณ์ที่เมืองซิตตะเว เมืองหลวงของรัฐยะไข่ ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ แต่ถูกตัดขาดจากพื้นที่ส่วนอื่นของประเทศ เพราะพื้นที่รอบๆถูกกองกำลังของกลุ่มชาติพันธุ์ยึดไว้หมดแล้ว
ล่าสุด กองทัพเอกราชคะฉิ่น (KIA) และพันธมิตรได้ประกาศยึดฐานทัพของกองกำลังพลเรือนในเมืองคองหลานพู่ รัฐคะฉิ่น ขณะที่มีทหารของรัฐบาลทหารประมาณ 70 นายประจำการอยู่ในค่ายดังกล่าว
ท่ามกลางความพ่ายแพ้ทางทหารอย่างหนักในรัฐยะไข่ ผู้นำรัฐบาลทหาร มิน อ่อง หล่าย ปรับเปลี่ยนคณะรัฐบาลเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (18 ธันวาคม) โดยแต่งตั้งพลเอกหม่อง หม่อง เอ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทนพลเอก ติน อ่อง ซัน
ในความเคลื่อนไหวสำคัญ มิน อ่อง หล่าย ได้เลื่อนตำแหน่งให้พันเอกใหญ่จอ สวา ลิน ซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสนิทที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองพลยุทธการ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพร่วมแทนพลเอกหม่อง หม่อง เอ และกลายเป็นบุคคลที่มีอำนาจอันดับ 3 ของรัฐบาลทหารแทน
ส่วนพลเอกติน อ่อง ซัน ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีบทบาทสำคัญ โดยที่มิน อ่อง หล่าย ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม
ทั้งนี้ การลุกฮือของกองกำลังชาติพันธุ์เพื่อต่อต้านรัฐบาลทหาร ภายใต้ชื่อ 10.27 ปะทุขึ้นในช่วงที่พลเอกติน อ่อง ซัน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลทหารสูญเสียพื้นที่ขนาดใหญ่ในรัฐฉานตอนเหนือ รวมถึงในรัฐคะฉิ่น รัฐกะเหรี่ยง รัฐชิน รัฐยะไข่ และพื้นที่ตอนกลางของเมียนมา
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า การปรับเปลี่ยนคณะรัฐบาลครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย น่าจะกำลังวางแผนอนาคตของตนในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นปีหน้า ไม่ว่าจะเป็นการมีบทบาทในฐานะนักการเมือง อาจถึงขั้นขึ้นเป็นประธานาธิบดี รวมถึงการวางแผนวิธีการป้องกันไม่ให้ถูกโค่นล้ม? นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจยกระดับเจ้าหน้าที่ที่ไว้วางใจขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะยังคงปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในปี 2025