“โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับยกย่องให้บุคคลแห่งปีจากนิตยสารไทม์ประจำปี 2024 ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่เขาได้ขึ้นปกในฐานะผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก เนื่องด้วยการผงาดคืนบัลลังก์ทางการเมืองอย่างยิ่งใหญ่ เอาชนะ ‘กมลา แฮร์ริส’ จากพรรคเดโมแครตได้อย่างขาดลอย Spotlight ชวนมาย้อนดูเหตุการณ์น่าสนใจในปี 2024 กันว่านักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลวัย 78 คนนี้ เดินเกมการเมืองชิงพื้นที่สื่อและชูนโยบายหาเสียงตรงใจชาวอเมริกันอย่างไร และมีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้เขาคืนทำเนียบขาวได้อย่างสวยงาม
ในช่วงต้นปี 2024 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีอาญา กรณีที่เขาจ่ายเงินปิดปาก "สตอร์มี แดเนียลส์" นักแสดงหนังผู้ใหญ่ที่เคยมีสัมพันธ์ด้วย หลังจากการไต่สวนคดีเป็นเวลา 7 สัปดาห์ คณะลูกขุนในนครนิวยอร์ก มีมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มีความผิดในความผิดอาญาทั้ง 34 กระทง ฐานปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจเพื่อจ่ายเงินปิดปากให้กับนักแสดงคนดังกล่าว ส่งผลให้ทรัมป์ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในประวัติศาสตร์ที่มีคดีอาญาติดตัว ซึ่งทรัมป์อาจต้องโทษจำคุกระหว่าง 1-7 ปี หรืออาจถูกกักบริเวณ
ทั้งนี้ ผลการพิจารณาคดีทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จะขาดคุณสมบัติในการลงสมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไหม่ ซึ่งรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯกำหนดไว้ว่า ประธานาธิบดีจะต้องเป็นบุคคลที่มีอายุอย่างน้อย 35 ปี เป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยกำเนิด และอาศัยอยู่ในประเทศนี้เป็นเวลาอย่างน้อย 14 ปี ซึ่งทรัมป์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ทั้งหมด อีกทั้งรัฐธรรมนูญไม่ได้มีข้อห้ามให้นักโทษหรือผู้เคยมีความผิดทางอาญาลงสมัครรับตำแหน่งหรือชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ทรัมป์จึงมีความชอบธรรมในการลงเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนในปี 2024
แม้จะถูกตัดสินความผิด ทรัมป์ก็เดินสายหาเสียงตั้งแต่ต้นปี เขายังให้สัมภาษณ์สื่อด้วยว่าการพิจารณาคดีครั้งนี้ถูกแทรกแซงและไม่เป็นธรรม และเขาจะเดินหน้าหาเสียงต่อไปแม้จะอยู่ในเรือนจำ หรือกักบริเวณที่บ้าน เขาจะเดินหน้าแคมเปญหาเสียงเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งในปีนี้ให้ได้
ขยับมาที่เดือนกรกฎาคม เกิดเหตุไม่คาดคิดที่ครองพื้นที่สื่อไปทั่วโลก เมื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ถูกลอบยิงขณะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงของพรรครีพับลิกัน ที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย มือปืนจากฝั่งผู้ฟังปราศรัยลอบยิงขึ้นไปบนเวที ตามด้วยเสียงปืนอีกหลายนัด แต่เคราะห์ดีที่กระสุนเฉียดใบหูด้านขวาของอดีตผู้นำสหรัฐฯ เขาเอามือจับหูและย่อตัวลง ทำให้ผู้คุ้มกันเข้ามาล้อมตัวเพื่อพาเขาลงจากเวทีไปยังที่ปลอดภัย นาทีนั้นเอง ทรัมป์ชูกำปั้นขึ้นเพื่อสื่อสารกับผู้สนับสนุนว่าเขายังอยู่ดี และมีความหมายกลาย ๆ ถึงการต่อสู้ นับว่าเป็นซีนประหนึ่งในภาพยนตร์ที่ทรัมป์เป็นฮีโร่อันเข้มแข็งในเรื่องนี้ ซึ่งน่าจะได้ใจผู้สนับสนุนอย่างมาก
เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ภายในวันนั้น แถลงการณ์จากทีมหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า อดีตประธานาธิบดี “ปลอดภัย” และกำลังได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลในพื้นที่หลังจากนั้น แต่โชคร้ายที่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ 1 คน และบาดเจ็บเพิ่มเติมอีก 2 คน ด้านทีมเอฟบีไอสามารถยิงตอบโต้ผู้ก่อเหตุในอาคารที่อยู่ใกล้เวทีปราศรัย และเปิดเผยชื่อคือ นายโธมัส แมทธิว ครุกส์ ชายชาวอเมริกันวัย 20 ปี โดยไม่ได้เปิดเผยแรงจูงใจในการก่อเหตุ
เหตุการณ์ลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2024 ยังไม่จบแค่นี้ เพียง 2 เดือนหลังจากเหตุลอบยิงครั้งแรก เอฟบีไอ เปิดเผยภาพถ่ายจากที่เกิดเหตุ เป็นกระเป๋าเป้ 2 ใบ กล้องโกโปร และปืน AK-47 ซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ใกล้สนามกอล์ฟ Trump International Golf Club ห่างจากรีสอร์ท Mar-a-Lago ของทรัมป์ ไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งขณะที่ หน่วยตำรวจลับสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบพื้นที่สนามกอล์ฟที่ทรัมป์กำลังจะเดินทางมาเล่น เจ้าหน้าที่สังเกตเห็นปากกระบอกปืนยื่นออกมาจากบริเวณพุ่มไม้ จึงยิงปืนอย่างน้อย 4 นัดไปที่ผู้ต้องสงสัย จากนั้นผู้ต้องสงสัยจึงทิ้งปืนไรเฟิลและอุปกรณ์ต่าง ๆ ไว้ ก่อนจะขึ้นรถหลบหนีไป แต่เจ้าหน้าที่สกัดไว้ได้สำเร็จ เป็นอีกครั้งที่ทรัมป์รอดปลอดภัยไปได้อย่างหวุดหวิด
จนกระทั่ง 3 สัปดาห์ก่อนที่จะมีการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ยังมิวายที่โดนัลด์ ทรัมป์ จะถูกลอบยิงเป็นครั้งที่ 3 ของปี 2024 ในวันที่ 12 ตุลาคม ทรัมป์มีกำหนดจะขึ้นเวทีหาเสียงที่เมืองโคเชลลา รัฐแคลิฟอร์เนีย นายอำเภอรีเวอร์ไซต์เคาน์ตี้ ประจำรัฐแคลิฟอร์เนีย เปิดเผยว่าเขาเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ได้ป้องกันการลอบสังหารโดนัลด์ ทรัมป์ โดยได้จับกุมชายคนหนึ่งใกล้กับเวทีหาเสียงของทรัมป์ เนื่องจากชายคนดังกล่าวพกอาวุธปืน 2 กระบอกพร้อมบรรจุกระสุน หนังสือเดินทางหลายเล่ม และป้ายทะเบียนรถปลอม อย่างไรก็ตาม การจับกุมดังกล่าวไม่กระทบต่อแผนการขึ้นหาเสียงและความปลอดภัยของทรัมป์
ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์เดินเกมอย่างเข้มข้น ชูนโยบาย America First หรือ ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ อีกครั้ง โดยทรัมป์จี้ใจคนอเมริกันได้ถูกจุด แม้ในช่วงนี้อัตราการว่างงานในสหรัฐฯจะอยู่ในระดับต่ำและตลาดหุ้นกำลังเฟื่องฟู แต่ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่าเศรษฐกิจของประเทศไม่ค่อยดีนัก เพราะต้องจ่ายเงินให้ค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน ซึ่งทรัมป์สร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจให้กับคนในประเทศได้ โดยเขาสัญญาจะดูแลปากท้องของคนอเมริกัน ด้วยการแก้เกมเศรษฐกิจที่อเมริกาอยู่ในสงครามการค้ากับจีนนั่นเอง
การประกาศจะกำจัดผู้อพยพผิดกฎหมายที่ลักลอบเข้ามาในสหรัฐฯ ด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว รวมถึงการโจมตีคด้วยข่าวปลอมที่ว่าผู้อพยพขโมยสัตว์เลี้ยงของคนอเมริกัน และกินสุนัข ทวีความหวาดกลัวและสร้างอคติให้กับหลายชุมชนเป็นอย่างมาก แต่ก็สะท้อนว่าปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันมองว่าเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชุมชน สร้างความไม่ปลอดภัย และแย่งงานคนในประเทศ การประกาศข่มขู่เม็กซิโก ยุโรปและแอฟริกาให้จัดการผู้อพยพที่ต้นทาง และแผนการเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ จึงเรียกคะแนนเสียงจากชาวอเมริกันได้ไม่น้อย
การแข่งขันท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ มีคู่แข่งมาแรงอย่าง ‘กมลา แฮร์ริส’ ตัวแทนจากพรรคเดโมแครตที่มาแทนโจ ไบเดนกะทันหัน แม้จะเป็นมือใหม่ทางการเมืองแต่ก็ทำให้ผู้สนับสนุนเดโมแครตใจชื้นขึ้นมาได้ รวมถึงโพลหลายสำนักก็มองว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งอาจสูสีกันได้ อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด ในเช้าวันที่ 6 พฤศจิกายน โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน ขึ้นเวทีประกาศชัยชนะต่อหน้าผู้สนับสนุนที่เวสต์ปาล์มบีช รัฐฟลอริดา พร้อมเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยา และครอบครัว รวมถึงเจ ดี แวนซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดี และทีมงานหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งขณะนั้น พรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในรัฐสวิงสเตทไปได้ทั้งหมด 3 รัฐ และรัฐอื่น ๆ ก็มีคะแนนนำ ทำให้เป็นผลชี้ชัดอย่างไม่เป็นทางการแล้วว่า ทรัมป์จะก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนที่ 47 ถือเป็นการคัมแบ็กอย่างสมศักดิ์ศรี
หลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ เตรียมเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งในวันที่ 20 มกราคมนี้ ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง เขาได้สร้างความประหลาดใจให้กับสื่อมวลชนในประเทศและแม้แต่หน่วยงานต่าง ๆ ในสหรัฐฯ เอง โดยเฉพาะการสรรหาบุคคลใหม่ ๆ มานั่งเก้าอีประจำกระทรวงต่าง ๆ ในรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ไม่ว่าจะเป็นการประกาศดันหลัง ‘พีท เฮกเซธ’ พิธีกร Fox news ผู้ภักดีต่อทรัมป์ ให้ขึ้นรับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ไปจนถึงการขู่ไล่ ‘คริสโตเฟอร์ เรย์’ หัวหน้าเอฟบีไอให้พ้นจากตำแหน่งก่อนกำหนด และเอา ‘แคช ปาเทล’ ขึ้นแทน เนื่องจากอาจไม่พอใจที่เรย์พาทีมบุกค้นรีสอร์ทของเขาเพื่อค้นหาเอกสารลับที่ทรัมป์นำออกจากทำเนียบขาวโดยพละการ
สำหรับตำแหน่งที่สร้างความฮือฮามากที่สุด คือการประกาศจะแต่งตั้งอีลอน มัสก์ ในตำแหน่งหัวหน้ากระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (DOGE) ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ร่วมกับ ‘วิเวก รามาสวามี’ มหาเศรษฐีผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ เพื่อปูทางให้รัฐบาลของทรัมป์ สามารถรื้อถอนระบบราชการ ลดกฎระเบียบที่มากเกินไป ลดรายจ่ายฟุ่มเฟือย และปรับโครงสร้างหน่วยงานของรัฐบาลกลาง
ยังไม่ทันที่ทรัมป์จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ แต่การประกาศจะจัดการปัญหาต่าง ๆ กับองค์กรระหว่างประเทศ ประเทศเพื่อนบ้าน มหาอำนาจขั้วตรงข้าม หรือแม้แต่ชาติพันธมิตรและประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ยังต้องสั่นสะเทือนกับท่าทีที่ดุดันของทรัมป์ เริ่มต้นจากการขู่จะถอนสหรัฐฯ ออกจากสมาชิกนาโต (NATO) เนื่องจากหลายประเทศสมาชิกไม่สามารถจ่ายเงินสนับสนุนทางการทหาร 2% ของ GDP ได้ตามที่ตกลงกันไว้ และด้วยนโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ จึงเป็นการบอกทางอ้อมว่าอเมริกาจะไม่เป็น ‘เดอะแบก’ อีกต่อไป
นอกจากความเคลื่อนไหวด้านความมั่นคงในระดับนานาชาติแล้ว การรักษาผลประโยชน์ทางการค้าให้กับประเทศ ทรัมป์ก็ไม่เกรงใจใครเช่นกัน ไม่ว่าจะขู่ขึ้นภาษีนำเข้ามหาโหด ทั้งประกาศว่าจะขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าจีน 60% สินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก 25% และสินค้าจากประเทศอื่น ๆ ราว 10% โดยโหวตเตอร์ส่วนใหญ่ของทรัมป์มองว่า กำแพงภาษีจะเป็นประโยชน์กับสหรัฐฯ แต่นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหลายคนวิเคราะห์ว่าอาจะเป็นดาบสองคมให้กับสหรัฐฯ เอง
การเคลื่อนไหวของทรัมป์ในช่วงนี้ ก็ชวนให้หลายประเทศขมวดคิ้วกันยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการขู่ยึดคลองปานามาคืนเพราะไม่พอใจเรื่องค่าธรรมเนียมผ่านทางเดินเรือ การประกาศจะให้ดินแดนแคนาดาเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐอเมริกา และประกาศจะยึดกรีนแลนด์ ดินแดนเหนือสุดบนโลกใบนี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นดินแดนภายใต้การปกครองของเดนมาร์ก เพื่อวัตถุประสงค์ด้านความมั่นคงแห่งชาติและเสรีภาพโลก ทำให้ผู้นำหลายประเทศที่ดินแดนถูกกล่าวอ้างถึง ต่างออกมาตอบโต้อย่างรุนแรงต่อไอเดียสุดโต่งของทรัมป์
ชัยชนะของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากการความวุ่นวายทางการเมืองที่เขาก่อขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยุยงให้ผู้สนับสนุนบุกอาคารรัฐสภา เนื่องจากเขาปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 ที่แพ้ให้กับโจ ไบเดน จนเกิดเป็นคดีความแก่ตัวเขาเองและผู้ก่อเหตุจลาจลมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่นับรวมคดีความต่าง ๆ ที่เขาเข้าไปพัวพัน จะเข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการทำหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือไม่ ที่จะเป็นเส้นทางอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ตามที่เขาหาเสียงไว้กับคนอเมริกัน ทั่วโลกจะเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นในเร็ว ๆ นี้