กุมภาพันธ์ปี 2025 ที่กำลังจะมาถึง สงครามยูเครนจะดำเนินมาครบ 3 ปีเต็ม แต่ในปี 2024 ที่ผ่านมา มีจุดเปลี่ยนต่างๆมากมายเกิดขึ้นกับสงครามยูเครน สิ่งที่สำคัญคือการที่ชาติพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ตัดสินใจอนุญาตให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลเพื่อโจมตีดินแดนรัสเซียได้ และการที่เกาหลีเหนือกับรัสเซียทำสนธิสัญญาความร่วมมือทางการทหาร เพื่อที่เกาหลีเหนือจะได้ส่งทหารไปช่วยรัสเซียรบได้
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ อนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธพิสัยไกล ATACMS เพื่อโจมตีรัสเซีย หลังจากประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีผลักดันมาตลอดหลายเดือน อย่างไรก็ตาม การใช้งานจะถูกจำกัดในภูมิภาคเคิร์สค์ ทางตะวันตกของรัสเซีย
การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้แก่รัสเซีย แต่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ของสหรัฐฯ เกิดจากการที่ไบเดนกำลังจะหมดวาระ และในเดือนมกราคม 2025 โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจะกลับเข้าทำเนียบขาว ทำให้หลายฝ่ายเป็นกังวลเกี่ยวกับอนาคตการสนับสนุนยูเครนของสหรัฐฯ ดังนั้นไบเดนจึงตั้งใจช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมในช่วงเวลาสั้นๆนี้ที่เขายังอยู่ในอำนาจ
สหรัฐฯสนับสนุนระบบยิงขีปนาวุธยุทธวิธีกองทัพบก หรือ ATACMS ซึ่งมีพิสัยยิงได้สูงสุดถึง 300 กิโลเมตร มีความเร็วสูง ยากต่อการสกัด แม้อาจจะไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนเกมเสียทีเดียว แต่ก็อาจจะช่วยทำให้ยูเครนซื้อเวลาได้เพิ่มขึ้น หรือจะเป็นอังกฤษที่ส่งมอบ Storm Shadow ขีปนาวุธที่มีพิสัยการยิงไกลถึงราว 250 กิโลเมตร
นอกจากนี้ สหรัฐฯยังเห็นชอบให้ยูเครนใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นับเป็นความพยายามที่ถูกมองว่า ต้องการชะลอการรุกคืบของกองทัพรัสเซีย ที่เข้ายึดพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญคือการที่คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ลงนามสนธิสัญญาทางทหารร่วมกันที่กรุงเปียงยางเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งในรายละเอียดระบุเอาไว้ถึงการให้คำมั่นของทั้งสองประเทศที่จะให้ความช่วยเหลือทางการทหาร ในกรณีที่รัสเซียและเกาหลีเหนือถูกโจมตี
นับจากทั้งสองฝ่ายลงนามข้อตกลงร่วมกันเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งเกาหลีเหนือและรัสเซียก็ได้ยกระดับความร่วมมือทางการทหารไปสู่ขั้นสูงสุด โดยสหรัฐฯยืนยันว่า ทหารเกาหลีเหนือมากถึง 1 หมื่นนายถูกส่งไปยังภูมิภาคเคิร์สค์ พรมแดนทางตะวันตกของรัสเซีย
โฆษกหน่วยข่าวกรองทหารยูเครน (GUR) กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า การมีส่วนร่วมของทหารเกาหลีเหนือไม่ได้สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสถานการณ์ เนื่องจากมีกำลังพลไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม พวกเขากำลังเรียนรู้ และยูเครนจะประเมินศัตรูต่ำเกินไปไม่ได้ สิ่งหนึ่งที่ยูเครนเริ่มสังเกตเห็นคือ ทหารเกาหลีเหนือเริ่มปรับตัวได้แล้ว ซึ่งการปรับตัวและการเรียนรู้ของฝ่ายตรงข้ามนี่เอง ที่ทำให้ยูเครนยังคงต้องเฝ้าระวังและเตรียมรับมืออย่างต่อเนื่อง
ด้านประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีของยูเครนเปิดเผยว่า มีทหารเกาหลีเหนือกว่า 3,000 นายเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในภูมิภาคเคิร์สค์ของรัสเซีย ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของเกาหลีใต้รายงานคาดการณ์ว่า น่าจะมีทหารเกาหลีเหนืออย่างน้อย 1,100 นายเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ
บทวิเคราะห์ที่ได้รับการเผยแพร่ในเดือนพฤศจิกายนโดยมูลนิธิเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ชี้ว่า การที่เกาหลีเหนือส่งทหารไปร่วมรบ อาจจะทำให้ได้รับค่าตอบแทนจากรัสเซีย เป็นอาหาร น้ำมัน และเงิน โดยสถานีโทรทัศน์ BBC รายงานว่า หน่วยข่าวกรองของเกาหลีใต้ประเมินว่ารัสเซียจ่ายเงินให้เกาหลีเหนือประมาณ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทหารหนึ่งนายในแต่ละเดือน
ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขแน่ชัดจากทั้งสองฝ่ายว่าสูญเสียทหารไปเท่าใด นับตั้งแต่สงครามเริ่มขึ้นในปี 2022 แต่สหประชาชาติคาดการณ์ว่า มีทหารหลายหมื่นนายจากทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ในจำนวนดังกล่าว เป็นทหารยูเครนอย่างน้อย 11,700 นาย
แต่นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนครั้งใหญ่ เศรษฐกิจของรัสเซียได้แสดงความแข็งแกร่งเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เพราะถึงแม้จะโดนคว่ำบาตรจากหลายฝ่าย แต่เศรษฐกิจของรัสเซียกลับเริ่มฟื้นตัวได้ โดย GDP ของรัสเซียกลับเติบโตขึ้น 3.6% ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 4% ในปี 2024
ดัชนีสำคัญต่าง ๆ เช่น การเติบโตของ GDP รายได้ครัวเรือน และอัตราการว่างงานต่ำ กลายเป็นจุดเด่นที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน นำมาใช้เป็นไพ่ตาย โดยเขาแสดงให้ชาติตะวันตกเห็นว่า มาตรการคว่ำบาตรไม่มีผลกระทบ และชูให้คู่ค้าในเอเชียและแอฟริกามองว่ารัสเซียมีนโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ในฝั่งของยูเครน ในปี 2022 อันเป็นผลจากการรุกรานของรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบ GDP ของยูเครนลดลงเกือบ 30% อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 เศรษฐกิจฟื้นตัวเกินความคาดหมาย โดยธนาคารแห่งชาติยูเครน (NBU) ประเมินว่าอัตราการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงในปีที่แล้วอยู่ที่ 5.7%