เมียนมากักตัว 40,000 ชีวิต บังคับเกณฑ์ทหาร ไม่ให้กลับไปทำงานต่างแดน
The Irrawaddy รายงานว่า แรงงานชาวเมียนมากว่า 40,000 คน ที่เตรียมเดินทางไปทำงานต่างประเทศถูกกักตัวเอาไว้ภายในเมียนมานับตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลเผด็จการเมียนประกาศใช้กฎหมายการเกณฑ์ทหารอย่างเข้มงวด โดยกฎหมายระบุว่า ชาย-หญิงที่ถูกคัดเลือกให้เข้ารับราชการทหารภาคบังคับ ซึ่งผ่านการตรวจสุขภาพและอยู่ในรายชื่อรอการฝึกอบรม จะไม่สามารถเดินทางออกนอนประเทศได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
มาตรการดังกล่าว ส่งผลให้แรงงาน รวมถึงบริษัทจัดหางานได้รับความเสียหายอย่างหนัก ด้านผู้บริหารสำนักงานจัดหางานต่างประเทศกล่าวว่า แรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่จ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว เพื่อเตรียมเดินทางไปยังประเทศที่จะทำงาน ซึ่งมีทั้งสิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น เป็นต้น แต่เมื่อถูกกักตัวไว้ จึงสร้างมูลค่าความเสียหายโดยรวมไม่ต่ำกว่า 300,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10 ล้านบาทเลยทีเดียว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังระงับการออกบัตรประจำตัวคนงานต่างแดน (OWIC) ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยอ้างถึงความจำเป็นในการทบทวนกฎระเบียบและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวแรงงานต่างด้าวไปต่างประเทศ ซึ่งชาวเมียนมามองว่าเป็นคำอธิบายที่ไร้ความสมเหตุสมผล ทั้งนี้ คำสั่งดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลเมียนมาแต่งตั้งให้นายอู ชิต สเว่ อดีตเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจำประเทศไทย ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของเมียนมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม
แรงงานข้ามชาติคนหนึ่งเล่าว่า เธอมีกำหนดเดินทางไปประเทศไทย ซึ่งเธอสามารถเปลี่ยนเที่ยวบินได้โดยการเสียค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,700 บาท แต่ด้วยความไม่แน่นอนของรัฐบาล ทำให้เธอไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเที่ยวบินเป็นวันไหน ท้ายที่สุดก็ตัดสินใจยกเลิกเที่ยวบิน
ขณะที่แรงงานที่กลับเมียนมามาพักร้อนแค่ชั่วคราวก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน เขาต้องติดอยู่ในประเทศและไม่สามารถเดินทางกลับไปทำงานตามกำหนดได้ ล่าสุด รัฐบาลเมียนมาเพิ่งจะอนุญาตพวกเขาเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่จะต้องส่งเอกสารโอนเงิน หลักฐานการชำระภาษี และใบอนุมัติการลาพักร้อนจากนายจ้าง ทั้งนี้ กฎหมายการโอนเงินกำหนดให้คนงานต้องโอนเงินอย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ของรายได้สกุลเงินต่างประเทศผ่านระบบธนาคารเมียนมา โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำกว่าอัตราตลาดมาก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องจ่ายส่วนต่างมากกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้คนงานยังต้องเสียภาษีเงินได้อย่างน้อย 10 เปอร์เซ็นต์ด้วย
แหล่งข่าวใกล้ชิดกับสหพันธ์จัดหางานเมียนมาไปต่างประเทศ (MOEAF) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากคำสั่งของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล แต่ปัญหาคือไม่มีการสื่อสารระหว่างรัฐมนตรีกับเจ้าหน้าที่ แม้แต่อธิบดีกระทรวงแรงงานเองก็ไม่รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงนโยบายนี้ และไม่มีใครให้ข้อมูลล่วงหน้าได้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า พล.อ.อาวุโสมิน อ่อง หล่าย เยือนรัสเซีย เดินทางเยือนมอสโกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และเข้าพบกับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ด้านกระทรวงแรงงานได้ส่งคนงานชาวเมียนมาร์ 24 คนไปรัสเซียเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ตามโครงการนำร่องและเพื่อแสดงมิตรภาพระหว่างสองประเทศ คนงานเหล่านี้เป็นกลุ่มแรกจาก 54 คนที่บริษัทจัดหางานเมียนมา Vista International Co จะส่งไปรัสเซียนั่นเอง
คณะรัฐประหารรายงานว่า แรงงานเหล่านี้จะถูกส่งไปที่ไซต์ก่อสร้าง พวกเขามีโอกาสในการทำงานมากมายในรัสเซีย และเงินเดือนที่นั่นสูงกว่าประเทศในเอเชีย เนื่องจากรัสเซียเสนองานในฐานะประเทศพันธมิตร ซึ่งแรงงานเมียนมาสามารถเดินทางไปทำงานที่ไหนในรัสเซียก็ได้ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงด้านแรงงานระหว่างสองประเทศสร้างความกังวลในกลุ่มแรงงานเมียนมาว่าอาจลงเลยเป็นแนวหน้าในสนามรบกับยูเครน เนื่องจากวอชิงตันโพสต์ระบุว่าชาวอินเดียอย่างน้อย 136 คนที่ถูกล่อลวงมายังรัสเซียด้วยข้อเสนอการทำงานหรือการศึกษาถูกบังคับให้เข้ากองทัพรัสเซีย
รัฐบาลทหารเมียนมาประกาศกฎหมายรับราชการทหาร กำหนดให้ประชาชนหนุ่มสาวทุกคน ได้แก่ ผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 18-35 ปี และผู้หญิงที่อายุตั้งแต่ 18-27 ปี ต้องรับใช้ชาติเป็นเวลา 2 ปี ส่วนประชาชนที่มีทักษะความเชี่ยวชาญพิเศษ เช่น แพทย์ พยาบาล เป็นต้น เพศชายอายุ 18-45 ปี และ เพศหญิงอายุ 18-35 ปี ต้องรับราชการทหารเป็นเวลา 3 ปี และหากรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือกฎอัยการศึกจะสามารถขยายเวลารับราชการไปสูงสุดถึง 5 ปี ซึ่งจะทำให้ประชากร 1 ใน 4 ของทั้งประเทศ จาก 65 ล้านคน มีคุณสมบัติที่จะต้องมาเป็นทหารเกณฑ์
