แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ กับระเบิดที่หลงเหลือจากสงครามยังคงเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตประชาชนในกัมพูชา และยังไม่สามารถเก็บกู้ได้ทั้งหมด พื้นที่กว่า 1,600 ตารางกิโลเมตรของกัมพูชายังคงเป็นที่ซ่อนของกับระเบิดที่ยังไม่ระเบิด หรือเรียกว่า UXO
ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เด็กชายชาวกัมพูชา เยียต ชาลี วัย 11 ปี ได้พบกับเศษโลหะขณะต้อนวัวในหมู่บ้านเล็กๆ ที่จังหวัดตะโบงคมุม ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ เขาเก็บมันขึ้นมาและขว้างทิ้งโดยไม่รู้ว่าเป็นกระสุนปืนครกเก่าที่ยังไม่ระเบิด จนกระทั่งมันระเบิดขึ้น!
เยียต ชาลีเล่าว่า ตอนนั้นผมกำลังต้อนวัว ผมคิดว่ามันเป็นแค่เศษโลหะ ผมขว้างมันทิ้ง แล้วมันก็ระเบิดขึ้น พร้อมกับเปลวไฟลุกวาบออกมา
ในปัจจุบัน กัมพูชายังคงต้องรับมือกับกับระเบิดที่ถูกทิ้งโดยกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามเวียดนาม และกับระเบิดที่เขมรแดงวางไว้เพื่อป้องกันการรุกรานจากเวียดนาม และปราบปรามประชาชนไม่ให้หลบหนี
แม้จะมีความพยายามในการเก็บกู้กับระเบิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แต่หลายพื้นที่ยังไม่ปลอดภัย ชาวบ้านยังคงต้องเผชิญกับอันตรายจากการทำการเกษตรในพื้นที่ที่มีกับระเบิดอยู่
เมา สะเรือน เกษตรกรในจังหวัดสวายเรียงเล่าว่า "ผมรู้ดีเรื่องระเบิดที่ยังไม่ระเบิด แต่ชีวิตของเรามันจน ดังนั้นเราจึงต้องทำนาในทุ่งที่ยังมี UXO อยู่ เมื่อผมเจอพวกมันระหว่างการไถนา ผมก็จะรายงานไปที่ตำรวจท้องถิ่นให้ช่วยเอามันออกไป แล้วก็เก็บพวกมันเอาไว้ในที่ปลอดภัยต่อคนอื่น"
กัมพูชามีหน่วยงานเฉพาะทางในการกำจัดกับระเบิด เช่น ศูนย์กิจการทุ่นระเบิดกัมพูชา (CMAC) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากหลายประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสหประชาชาติและสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทรัมป์ได้สั่งระงับการให้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของศูนย์กำจัดกับระเบิดในประเทศ
โมช โสเคียง เจ้าหน้าที่กำจัดทุ่นระเบิดกล่าวว่า "ฉันรู้สึกเสียใจมาก ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาที่เราหยุดปฏิบัติการ เราได้รับคำขอหลายรายการ แต่ไม่สามารถตอบสนองได้เลย ทำให้เรารู้สึกเสียใจจริงๆ"
การระงับความช่วยเหลือจากต่างประเทศสร้างความวิตกกังวลในหมู่ผู้ที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนด้านมนุษยธรรม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่กับระเบิดยังคงเป็นภัยคุกคามสำคัญในชีวิตประจำวันของชาวกัมพูชา
นับตั้งแต่กลับมาบริหารประเทศ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งระงับความช่วยเหลือโครงการด้านมนุษยธรรม ผ่านหน่วยงานความช่วยเหลือระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) เป็นระยะเวลา 90 วัน เพื่อประเมินความสอดคล้องกับนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" ซึ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับกลุ่มองค์กรช่วยเหลือทั่วโลกที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาคเงินช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคาดว่า เมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา สหรัฐฯจัดสรรงบประมาณประมาณ 13.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 42% ของเงินช่วยเหลือทั้งหมดตามรายงานของสหประชาชาติ