บันทึกลับลอบสังหารเคนเนดี มีอะไรใหม่ หรือทรัมป์แค่ใช้เรียกคะแนน?
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่า ผู้คนรอคอยมานานหลายทศวรรษแล้ว ที่จะได้เห็นเอกสาร 80,000 หน้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีเคนเนดี ไม่นานหลังจากเข้ารับตำแหน่ง เขาก็ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารให้เปิดเผยเอกสารหลายพันฉบับที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารเคนเนดี โรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ต่อสาธารณะ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เอกสารดังกล่าว ถูกโพสต์บนเว็บไซต์ของหอจดหมายเหตุแห่งชาติเมื่อเย็นวันอังคารที่ผ่านมา (18 มี.ค. 68) คาดว่าอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่ทีมนักวิจัยกรณีการลอบสังหาร JFK จะอ่านเอกสาร 1,123 ฉบับที่โพสต์ใหม่ได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ใด ๆ ว่า จะมีข้อมูลสำคัญซึ่งมาเปลี่ยนแปลงข้อสรุปล่าสุดของทีมสอบสวนคดีลอบสังหาร
ทอม ซาโมลุก รองผู้อำนวยการของคณะกรรมการตรวจสอบบันทึกการลอบสังหาร จัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 เพื่อศึกษาบันทึกที่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร เขาและทีมงานอีกจำนวนมากได้ตรวจสอบเอกสารจำนวนมหาศาลอีกครั้งเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะระหว่างปีค.ศ. 1994 ถึง ค.ศ. 1998 และจากสิ่งที่เขาตรวจสอบ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนข้อสรุปปัจจุบันเกี่ยวกับการลอบสังหารเคนเนดีได้ นั่นคือ มือปืนเพียงคนเดียว ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของเขา
ด้านผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติ ทัลซี แกบบาร์ด กล่าวในแถลงการณ์ว่า บันทึกดังกล่าวมี เอกสารที่เคยถูกจัดว่าเป็นความลับประมาณ 80,000 หน้า ซึ่งจะถูกเผยแพร่โดยไม่มีการแก้ไขใด ๆ และยังมีเอกสารเพิ่มเติมอีก ซึ่งถูกจัดเก็บไว้ภายใต้การปิดผนึกของศาลหรือเพื่อรักษาความลับของคณะลูกขุนใหญ่ ซึ่งได้ดำเนินการตามขึ้นตอนเปิดผนึกของศาล ก่อนเผยแพร่สู่สาธารณะ
ย้อนรอย 'วันแห่งการสูญเสีย' ผู้นำแห่งความหวังของอเมริกา
จอห์น เอฟ. เคนเนดี ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีในยุคที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งในและนอกประเทศ ทั้งศึกสงครามเย็น การเรียกร้องสิทธิพลเมือง และการแข่งขันด้านอวกาศกับโซเวียต เขาจึงเป็นผู้นำที่ให้ความหวังกับชาวอเมริกันว่า จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับประเทศได้ แต่การลอบสังหารที่อุกอาจ ซึ่งเกิดขึ้นกลางวันแสก ๆ ในที่สาธารณะ คร่าชีวิตนักการเมืองรุ่นใหม่วัย 46 ปี จึงนับเป็นการสูญเสียอนาคตของอเมริกาด้วย
วันที่ 22 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1963 จอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้นำหนุ่มเนื้อหอม อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 35 และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง แจ็กเกอลีน เคนเนดี กำลังนั่งรถลิมูซีนเปิดประทุนในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส โบกมือทักทายประชาชนที่มารอต้อนรับ ขณะที่ขบวนรถแล่นผ่านเดลลีย์พลาซา มีการยิงปืนหลายนัดจากอาคารเก็บหนังสือเรียนเท็กซัส ประธานาธิบดีเคนเนดีถูกยิงที่ศีรษะและลำคอ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ
ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ถูกจับกุมในฐานะผู้ต้องสงสัยในการลอบสังหาร แต่เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด สองวันต่อมา ออสวอลด์ถูกยิงเสียชีวิตโดยแจ็ก รูบี เจ้าของไนท์คลับ ขณะที่เขากำลังถูกนำตัวออกจากสถานีตำรวจ ทั้งนี้ แรงจูงใจของออสวอลด์ในการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดียังคงไม่เป็นที่แน่ชัด
เหตุการณ์นี้สร้างความตกตะลึงและความโศกเศร้าให้กับชาวอเมริกัน เนื่องจากเคนเนดีเป็นประธานาธิบดีแห่งความหวังของสหรัฐฯ ในขณะนั้น คดีลอบสังหารนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการวอร์เรน (Warren Commission) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ "คณะกรรมการประธานาธิบดีว่าด้วยการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี" เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด รายงานของคณะกรรมการสรุปว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เป็นผู้ลงมือสังหารประธานาธิบดีเคนเนดีเพียงลำพัง
ความลับที่ยังไม่เผย หรือแค่สีสันเรียกคะแนนเสียงให้ทรัมป์
แลร์รี ซาบาโต นักรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “The Kennedy Half-Century: The Presidency, Assassination, and Lasting Legacy of John F. Kennedy” เตือนว่าประชาชนอาจผิดหวังกับข้อมูลที่ยังไม่เปิดเผย เขากล่าวว่า เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องการลอบสังหารเคนเนดี และผู้คนที่คาดหวังว่าจะไขคดีนี้ได้หลังจากผ่านไป 61 ปี จะต้องผิดหวังอย่างมาก
การลอบสังหารเคนเนดีเป็นเชื้อเพลิงให้กับทฤษฎีสมคบคิดมาอย่างยาวนาน แม้จะผ่านเลยมาหลายสิบปีแล้ว ชาวอเมริกันและทั่วโลกยังคงตั้งข้อสงสัยฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังมือปืนคนดังกล่าว เนื่องจากลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ เคยแปรพักตร์ไปอยู่สหภาพโซเวียตในช่วงสั้น ๆ บางกลุ่มจึงเชื่อว่านี่คือความเคลื่อนไหวทางการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนบางกลุ่มเชื่อว่าเป็นฝีมือของกลุ่มหรือผู้คนในสหรัฐฯ เองด้วยซ้ำ เช่น องค์กรมาเฟียที่เคนเนดีขัดผลประโยชน์ หรือกลุ่มต่อต้านการปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาล
ด้านนายโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี จูเนียร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์ บุตรชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี และหลานชายของจอห์น เอฟ เคนเนดี เคยกล่าวว่า เขาเชื่อว่า สำนักงานข่าวกรองกลาง (ซีไอเอ) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของลุง แต่ซีไอเอบอกว่าเป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย ทั้งนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์สทบทวนเอกสารเบื้องต้นแล้วพบว่า ไม่ได้เบี่ยงเบนไปจากเรื่องเล่าหลักแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับคดีนี้หลายครั้ง แต่ก็ยังมีเอกสารจำนวนมากที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ในช่วงดำรงตำแหน่งวาระแรกของทรัมป์ เขาตกลงที่จะไม่เปิดเผยเอกสารทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลอบสังหารเคนเนดีตามคำขอของหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ แต่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2024 ทรัมป์กล่าวว่า เขาจะเปิดเผยเอกสารที่เหลือทั้งหมด และเมื่อเขาชนะเลือกตั้ง จึงเป็นการทำตามสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างหาเสียง นักวิเคราะห์ทางการเมืองบางส่วนจึงเชื่อว่า นี่เป็นแค่เกมเรียกคะแนนความนิยมของทรัมป์ มากกว่าจะเปิดเผยข้อมูลความลับอะไรใหม่ ๆ ที่จะมาพลิกหน้าประวัติศาสตร์
