การหวนคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้มีการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 60% ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และอาจทำให้ห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกพลิกผัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดการควบคุมทางเทคโนโลยีมากขึ้น และว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะพูดจารุนแรงต่อรัฐบาลจีน ซึ่งจะทวีความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจทั้งสองให้ร้อนระอุยิ่งขึ้นไปอีก
ขณะเดียวกัน ท่าทีทางการค้าและนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวของทรัมป์ อาจลดความสำคัญของชาติพันธมิตรลง ถือเป็นโอกาสให้จีนเติมเต็มช่องว่างทางการค้ากับประเทศต่าง ๆ แทนที่สหรัฐฯ หรือแม้แต่พลิกเกมขึ้นมาเป็นผู้จัดระเบียบโลกทางเลือกใหม่ก็เป็นได้
เฉิน ติงลี่ นักวิชาการด้านนโยบายต่างประเทศประจำมหานครเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า การกลับมาครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งของทรัมป์ จะเป็นดาบสองคมสำหรับจีน เพราะนำโอกาสที่ดีมาให้ แต่ก็อาจเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงเช่นกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่าทีของทั้งสองประเทศที่มีต่อกันด้วยว่า จะเทน้ำหนักไปด้านความเสี่ยงหรือสร้างโอกาสที่ดีร่วมกัน
หลังจากที่ทรัมป์คว้าชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการ และเตรียมขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ผู้นำทั่วโลกก็ได้มีการออกมาเคลื่อนไหวแล้ว โดยแสดงความยินดีที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง รวมถึงชาติมหาอำนาจที่นับเป็นคู่แข่งทางการค้าของสหรัฐฯ อย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนเช่นกัน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ได้ออกมาแสดงความยินดีกับทรัมป์ ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ค้นหาหนทางที่ถูกต้อง เพื่ออยู่ร่วมกันในโลกยุคใหม่ได้ รวมถึงลดการเผชิญหน้ากันเพื่อประโยชน์ของสองประเทศและประชาคมโลก
ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน
ย้อนกลับไปในช่วงที่ทรัมป์รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ สมัยแรกเมื่อปีค.ศ. 2016-2020 ได้เปิดฉากทำสงครามการค้าครั้งสำคัญกับจีน โดยขึ้นบัญชีดำบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนอย่าง Huawei โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ อีกทั้งยังโจมตีรัฐบาลจีนที่เป็นต้นเหตุของโรคระบาดโควิด 19 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ทวิภาตกลงสู่จุดต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ
ระหว่างการหาเสียงในรอบล่าสุด ทรัมป์ขู่จะขึ้นภาษี นำเข้าสินค้าทั้งหมดที่ผลิตในจีนถึงร้อยละ 60 และเพิกถอนสถานะ “ความสัมพันธ์การค้าปกติถาวร” (permanent normal trade relations) ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยให้จีนมากที่สุดในรอบสองทศวรรษ หากมีการประกาศขึ้นภาษีจริง ผลเสียร้ายแรงที่จะตามมาอาจทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในจีน ทั้งด้านอสังหาริมทรัพย์ ความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง ราคาสินค้าตกต่ำ และหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นที่เพิ่มสูงขึ้น
ธนาคารการลงทุน Macquarie ประเมินว่า หากภาษีศุลกากรสูงถึง 60% จะทำให้การเติบโตของประเทศลดลงถึง 2% ซึ่งจะอยู่ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนตลอดทั้งปีที่คาดไว้ที่ 5% โดยลาร์รี หู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของ Macquarie ระบุว่า สงครามการค้า 2.0 อาจทำให้ความเติบโตด้านการส่งออกและการผลิตของจีนต้องหยุดชะงักลง ล่าสุด หลังจากในช่วงการนับคะแนนเลือกตั้งสหรัฐฯ และทรัมปขึ้นมาประกาศชัยชนะอย่างไม่เป็นทางการ ก็ส่งผลให้หุ้นจีนและเงินหยวนร่วงลงอย่างรวดเร็ว
ความท้าทายและโอกาส
การใช้นโยบายอเมริกาต้องมาก่อน (America First) ของทรัมป์ ดูเหมือนจะเป็นผลเสียกับจีน แต่แท้จริงแล้ว นักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นโอกาสที่ดีของจีน โดย ตง จ่าว นักวิจัยอาวุโสแห่งมูลนิธิคาร์เนกีเพื่อสันติภาพระหว่างประเทศ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจีนจะหวาดกลัวต่อสงครามการค้าที่อาจปะทุขึ้นใหม่ แต่ก็เชื่อว่านโยบายภาษีศุลกากรที่เข้มงวดของทรัมป์ จะทำให้สัมพันธ์กาค้าของสหรัฐฯและยุโรปคลายความแน่นแฟ้นลง และเป็นการเปิดช่องว่างให้จีนเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับยุโรปได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ การที่ทรัมป์ต่อต้านการทำงานของนาโต้ และต้องการจะลดความสำคัญของชาติพันธมิตร จะเป็นการลดความแข็งแกร่งของกลุ่มชาติพันธมิตร นั่นหมายความว่าภัยคุกคามของจีนก็อ่อนกำลังลงด้วย ดังนั้น แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงภายใต้การนำของทรัมป์นั้นถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้นำสี จิ้นผิง ของจีน ที่มีโอกาสอ้างสิทธิ์ความเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และสร้างระเบียบโลกใหม่ที่ไม่ถูกครอบงำโดยโลกตะวันตก