จากกรณีด.ญ.เอ (นามสมมติ) แม่วัยใสวัยเพียง 14 ปี แขวนคอลูกชายตัวเองวัย 1 ขวบ จากนั้นทิ้งศพไว้หลังห้องน้ำของเพื่อนบ้าน แล้วนำรถเข็นเด็กปิดทับศพไว้ โดยเหตุเกิดขึ้นที่อ.เซกา จ.บึงกาฬ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 25 มี.ค.63 ทีมข่าวได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านของน.ส.ชรินทิพย์ อายุ 21 ปี เพื่อนบ้าน พบเป็นบ้านปูนชั้นเดียว จุดซ่อนศพน้องวัย 1 ขวบ ยังคงสภาพเดิมไม่ได้เคลื่อนย้าย เนื่องจาก น.ส.ชรินทิพย์ ต้องการจะรอให้ครอบครัวของ ด.ญ.เอ มาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณเด็กเสียก่อน อีกทั้งรถเข็นเด็กคันดังกล่าวก็เป็นของที่บ้านของน.ส.ชรินทิพย์ ที่พังเสียหายแล้ว เธอจึงรู้สึกหวาดกลัวดวงวิญญาณเด็ก โดยช่วงกลางดึกของวันที่ 24 มี.ค.63 ที่ผ่านมา เธอก็ไม่กล้าเข้ามาในบริเวณบ้านที่เกิดเหตุ
น.ส.ชรินทิพย์ กล่าวว่า ในช่วงเย็นของวันที่ 22 มี.ค.63 ที่ผ่านมา แม่ของด.ญ.เอ ได้หอบหลานชายวัย 1 ขวบ พร้อมเสื้อผ้ามาหาที่บ้านพักของตน และได้บอกว่า "ด.ญ.เอ หายไปหลายวันแล้ว ยังไม่กลับบ้าน ลูกก็ไม่ยอมดูแล" จวบจนเวลาประมาณ 20.00 น. ด.ญ.เอ ก็มาหาตนที่บ้าน บอกว่าทะเลาะกับที่บ้าน แม่ของด.ญ.เอ จึงวางหลานชาย ไว้ที่หน้าบ้าน ให้ด.ญ.เอ ดูแลต่อ ตนรู้สึกสงสารและเกรงว่าลูกชายของด.ญ.เอ จะไม่สบาย จึงได้เปิดบ้านให้ด.ญ.เอ และลูกวัย 1 ขวบ เข้าไปพักอาศัย
จากนั้นเวลาประมาณ 22.00 น. ตนก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ขี่เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ซึ่งตนคาดว่าน่าจะเป็นแฟนใหม่ของด.ญ.เอ จึงถามว่าจะไปไหนกัน และได้คำตอบกลับมาว่า "จะออกไปนอนข้างนอก" ตนจึงถามต่อว่า "ล็อกบ้านหรือยัง เอาลูกไปด้วยไหม" ด.ญ.เอ บอกว่า "ล็อคแล้ว เอาลูกไปด้วย" ตนจึงไม่ได้เอะใจอะไร
ในวันที่ 23 มี.ค.63 ตนสังเกตว่า ด.ญ.เอ กลับเข้ามาที่บ้านในช่วงเที่ยง แล้วออกจากบ้านไป ตนจึงมาปิดบ้านล็อกประตู และไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งวันที่ 24 มี.ค.63 หลานของตนวัย 10 ขวบก็ได้วิ่งเล่นไปเจอศพของลูกของ ด.ญ.เอ บริเวณหลังห้องน้ำหลังบ้าน ตนจึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจในทันที
น.ส.ชรินทิพย์ ระบุว่า ปกติแล้วด.ญ.เอ มักจะมีเรื่องผิดใจกับทางบ้านและหายออกจากบ้านอยู่เป็นประจำ โดยไม่นำลูกไปด้วย ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมาปรึกษาตน ครั้งนี้แม่ของด.ญ.เอ คงคิดว่า หากให้ด.ญ.เอ ดูแลลูกเอง อาจจะคิดได้และปรับปรุงตัว ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจ เด็กอายุเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้น
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางเดือน (นามสมมติ) อายุ 40 ปี แม่ของ ด.ญ.เอ เปิดเผยว่า ลูกสาวมักจะหายออกจากบ้านอยู่เป็นประจำ และมักจะบอกกับทุกคนว่า "อยากจะเอาลูกย้ายไปอยู่กับเพื่อน จะได้ไม่ต้องเจอพ่อกับแม่" โดยครั้งล่าสุด ลูกสาวแอบขี่รถจักรยานยนต์ของตนออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.63 จนในวันที่ 22 มี.ค.63 มีคนโทรศัพท์มาบอกกับตนว่า พบด.ญ.เอ อยู่แถวบ้านของ น.ส.ชรินทร์ทิพย์
ทั้งนี้ตนกับสามี ซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงของด.ญ.เอ จึงเดินทางไปดูและสามีโกธรมาก เนื่องจากรถจักรยานยนต์มีเพียงคันเดียว และสามีของตนต้องใช้ขี่ไปทำงาน จึงได้ตบหน้าด.ญ.เอ ไป 2 ครั้ง เพื่อสั่งสอน ไม่ใช่ตบด้วยความรุนแรง ทั้งนี้ตนจึงได้ส่งหลานชายให้กับ ด.ญ.เอ ไปแล้วเดินทางกลับ
จากนั้นในวันที่ 23 มีนาคม เวลา 9.00 น. ตนได้เดินทางไปดูความเป็นอยู่ของลูกสาว แต่ตนไม่พบหลานชาย คิดว่าชายหนุ่มที่ขับรถจักรยานยนต์มารับลูกสาวกลางดึก คงนำเด็กไปเลี้ยงด้วย โดยคนแถวบ้านของ น.ส.ชรินทร์ทิพย์ บอกตนว่าคืนวันที่ 23 มี.ค.63 ด.ญ.เอ ยังมาขอยืมขวดนมเด็ก ซึ่งตนคาดว่าน่าจะนำไปให้หลาน
นางเดือน ยังกล่าวยืนยันว่า ตนไม่รู้ว่าใครคือพ่อของหลานชายที่เสียชีวิต และไม่เคยมีใครรู้ว่าด.ญ.เอ ตั้งท้อง เพราะปกติตัวใหญ่อยู่แล้ว จนวันที่ด.ญ.เอ ตกเลือดในวันคลอด ซึ่งอายุครรภ์ได้ 7 เดือนเท่านั้น อีกทั้งชายหนุ่มที่ขี่รถจักรยานยนต์มารับ ด.ญ.เอ ในคืนวันที่ 22 มี.ค.63 ตนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะด.ญ.เอ ไม่เคยเล่า ไม่เคยบอกอะไรกับครอบครัว
โดยวันที่ 24 มี.ค.63 ตนก็ได้ฝันถึงหลานชายวัย 1 ขวบ แต่ไม่เห็นตัว ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ จึงได้บอกหลานไปว่า "ไปอยู่วัดนะ เดี๋ยวยายจะทำบุญไปให้" อย่างไรก็ตาม หลังจากจัดพิธีศพเรียบร้อยแล้ว ตนจะไปทำพิธีเชิญดวงวิญญาณหลานชายให้เรียบร้อย เพราะตนก็ไม่รู้ว่าจะจัดการลูกคนนี้อย่างไร และตนจะไม่ประกันตัวออกมา แต่อยากให้ลูกสาวปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและนิสัย ซึ่งก็ไม่รู้จะได้หรือไหม
สำหรับบรรยากาศในวันนี้ เวลาประมาณ 16.00 น. ญาติ ๆ ได้เดินไปรับศพที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และนำศพของเด็กมาถึงวัดเซกาเจติยาราม พระอารามหลวง จ.บึงกาฬ โดยมีพระสงฆ์จำนวน 10 รูป ทำพิธีฝังศพซึ่งเป็นธรรมเนียมของภาคอีสาน หากเด็กตายต้องตั้งฝังเท่านั้น โดยมีการใส่ตุ๊กตา ของเล่น เสื้อผ้า และนมผงเด็ก ฝังลงไปพร้อมกันด้วย
โดยนายคำ (นามสมมติ) อายุ 40 ปี อาชีพก่อสร้าง พ่อเลี้ยงของด.ญ.เอ กล่าวว่า ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เสียใจมากกว่าที่ลูกเลี้ยงบอกว่าเสียใจที่ถูกตนตบหน้า ตนตบเพื่อสั่งสอนเพราะความโมโหไม่ได้ตบแรง ถ้าตบแรง ด.ญ.เอ คงมีรอยช้ำไปแล้ว ส่วนตัวแล้วแม้ตนจะอยู่กินกับน.ส.เดือน มาหลายปี แต่ตนไม่ได้สนิทกับด.ญ.เอ ไม่ค่อยได้ยุ่งเรื่องของลูกสาว เพราะตนต้องไปทำงานอยู่ตลอด จึงไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนเสียเท่าไหร่ และทำไมด.ญ.เอ ถึงมาโทษตนว่าเป็นต้นเหตุของการฆาตกรรม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจะให้อภัยกับด.ญ.เอ หรือไม่ นายคำ เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่าให้อภัยและหวังว่าหลังจากที่ด.ญ.เอ ออกมาจากสถานพินิจ จะปรับปรุงตัวให้ดีมากขึ้น และจากนี้ทางครอบครัวคงจะคุยกันเกี่ยวกับการทำบุญให้หลานชาย แต่ขณะนี้ตนก็พอจะทำใจได้บ้าง เป็นห่วงแต่ภรรยาที่ยังคงร้องไห้ ทำใจไม่ได้
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายคิม (นามสมมติ) อายุ 18 ปี เพื่อนบ้าน เล่าให้ทีมข่าวฟังถึงเหตุการณ์แปลกประหลาด หลังการเสียชีวิตของเด็กชายวัย 1 ขวบ โดยนายคิม ระบุว่า ในวันที่ 24 มี.ค.63 ตนได้ไปนั่งเล่นที่หน้าบ้านหลังที่เกิดเหตุในช่วงบ่าย เนื่องจากตนได้ขับรถจักรยานยนต์ไปหาสามีของ น.ส.ชรินทร์ทิพย์ (เจ้าของบ้าน) เพื่อวานให้ซ้อมรถจักรยานยนต์ แต่กลับต้องมาทราบมีศพเด็กวัย 1 ขวบหลังห้องน้ำ
เมื่อผ่านไป 30 นาที ตนก็สังเกตเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง กำลังวิ่งเล่นอยู่ภายในบ้าน แล้วกระโดดขึ้นเตียง ตนได้แต่สงสัยว่าทำไมถึงมีเด็กมาวิ่งเล่นได้ เพราะผู้ใหญ่กันเด็กให้ออกจากที่เกิดเหตุแล้ว ตนจึงได้ขออนุญาตสามีของ น.ส.ชรินทร์ทิพย์ เพื่อเข้าไปสำรวจภายในบ้าน แต่ก็ไม่พบใคร เมื่อตนเดินเข้าไปถึงห้องนอน (จุดผูกคอ) ตนก็ได้ยินเสียงเด็กพูดภาษาอีสานว่า "เชือก เชือกอยู่ข้าง ๆ เชือกผูกคอผม" แต่ตนไม่เข้าใจว่าเด็กจะสื่ออะไร เพราะขณะนั้นตนยังไม่รู้ว่าเด็กตายเพราะอะไร จึงเดินกลับออกมานอกบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยเดินทางมาถึงพอดี
โดยเมื่อเจ้าหน้าที่กู้ภัยเปิดหน้าของศพที่ถูกรถเข็นเด็กทับ ตนก็เข้าใจในทันทีว่าเด็กที่วิ่งในบ้านและกระซิบบอกตนถึงเชือกคือใคร นอกจากนี้ช่วงเช้าวันที่ 25 มี.ค.63 ที่ผ่านมา ขณะที่ตนกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ภายในบ้านตนเอง ก็ได้ยินเสียงเด็กชายคนเดิม พูดว่า "ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงอยู่คนเดียว" แล้วเสียงก็หายไป จากนี้ตนคงจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เด็ก ขอให้น้องไปสู่สุคติ
Advertisement