"ทนายตั้ม" ยื่นประธานสภาฯปลด​ "สามารถ" พ้นทุกตำแหน่ง​ กมธ.​

18 ต.ค. 67

"ทนายตั้ม" ยื่นประธานสภาฯปลด​ "สามารถ" พ้นทุกตำแหน่ง​ กมธ.​ แค่เสียงตัวเองยังไม่กล้ารับ​ ไม่สนขู่ฟ้อง​ เรียกชื่อดัง​ 3 ครั้ง​ ท้ามาฟ้อง​เลย​

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ​ ยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา​ เพื่อขอให้ตรวจสอบและปลดนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ​ ออกจากคณะกรรมาธิการทุกคณะ​ หลังปรากฎมีเสียงคล้าย​ คนในคลิปเรียกรับผลประโยชน์​ผู้บริหารดิไอคอน​

fff_2020

ซึ่งเบื้องต้น​ตรวจสอบแล้ว​ มีอยู่เกือบ 10 คณะ ที่นายสามารถ​ เป็น​กรรมาธิการ​ อาทิ​ ที่ปรึกษากรรมาธิการการแรงงาน​ ,ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการศึกษาการส่งเสริมคุณภาพชีวิต ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึง 6 ปี​ , กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง​ พ.ร.บภาษี​ สรรพสามิต​ , และเป็นโฆษกอนุกรรมาธิการศึกษาหนี้นอกระบบ​

ทั้งนี้​ นายษิทรา กล่าวว่า​ เท่าที่ทราบตอนนี้​นายสามารถ​ ยังอยู่ไทย​ แต่ไม่กล้าออกมาตอบคำถามพี่น้องสื่อมวลชน​ เพราะแค่เสียงตัวเอง ยังไม่กล้ายอมรับเลย​ และเท่าที่ดูเรื่องของนายสามารถ​ ก็ยังมีให้คนอื่นไปเรียนแทน​ และตนก็ไม่รู้ว่ากลับมาได้อย่างไร​ เพราะเคยออกจากพรรคพลังประชารัฐไปแล้ว​

เมื่อถามว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนายสามารถ​ มีใครที่อยู่ระดับสูงกว่านี้หรือไม่ นายษิทรา ระบุว่าก็รู้กันอยู่​ว่า​เขาสนิทสนมกับใคร นั่นก็คือหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้มีบารมีค่อนข้างสูง

ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐปลดนายสามารถออกจากรองโฆษกพรรค​ นายษิทรา​ กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ควรทำตั้งนานแล้ว​ ไม่ใช่ตนเข้าไปร้อง​และเห็นผู้สื่อข่าวเยอะ​ ก็เพิ่งดำเนินการ​ พรรคควรทำตั้งแต่ก่อนที่จะมีคนไปร้องด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม

เมื่อถามว่าที่ผ่านมานายสามารถ​ ขู่ทุกคนว่าจะฟ้องกลับ​ หากมีการเอ่ยชื่อ​เขา​ แต่ทนายตั้มเป็นคนแรกที่กล้าเอ่ยชื่อถือเป็นการเปิดหน้าชนเลยหรือไม่​ นายษิทรา​ กล่าวว่า​

"มีขู่มาตลอด​ ถ้าใครเอ่ยชื่อเขา​ จะฟ้อง วันนี้ตนจะขอเอ่ยชื่อเขา 3 ครั้ง นายสามารถ​ นายสามารถ​ นายสามารถ จะฟ้องผม​ กี่ครั้งก็ฟ้องมาเลยครับ​ เพราะเรื่องนี้ฟังจากคลิปเสียงแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม คนประเภทแบบนี้​ ตบทรัพย์เขา ​ไม่ควรจะอยู่ทำงานเกี่ยวกับการเมืองเลย พอเรื่องเงียบก็ชุบตัว แล้วกลับมาใหม่​ มาในตำแหน่งใหม่​ คลิปเสียงผมให้ใครฟังแล้ว​ ก็บอกว่าเป็นนายสามารถ​ บางคนไม่อยากออกสื่อเพราะกลัวจะ​ เดี๋ยวผมจะขอพยานที่เขาสมัครใจ อย่างพี่สิระ​ เจนจะคะ​ น่าจะเป็นเพื่อนรักกั​น​ เขาถึงจำเสียงได้แม่นเลย"

1729226669452

เมื่อถามว่าบุคคล มี Power จริงหรือแอบอ้าง​ นายษิทรา​ กล่าวว่า​ ตัวเขาอยู่ใกล้ผู้หลักผู้ใหญ่ เขาก็น่าจะมี Power และเขาคงจะมีผู้ใหญ่ให้ท้าย เพราะถ้าไม่มีผู้ใหญ่ให้ท้ายเขาคงไม่ปีกกล้าขาแข็ง ถึงขนาดนี้ ถึงขนาดไปเรียกเงินจากบอสพอล ให้ดูแลเป็นรายเดือน​ นี่เป็นแค่กรณีเดียวและยังมีอีก ซึ่งหากใครถูกเรียกค่าดูแลขอให้แจ้งตนได้เลย ตนพร้อมจะจัดการให้​

เมื่อถามว่าการขับนายสามารถ ออกจากรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ​ ในทางพฤตินัย​ยังติดต่อกันหรือไม่​ นายษิทรา​ กล่าวว่า​ ไม่แน่ใจว่าเป็นการขับเพื่อลดแรงกระแทก จากคนที่สนใจข่าวนี้หรือไม่​ แต่ตนคิดว่า​ถ้าพอเรื่องเงียบ​ นายสามารถกลับมารอบนี้เป็นหัวหน้าพรรคจะทำอย่างไร​ เพราะทุกอย่างเป็นไปได้หมด​ ฉะนั้นการพรรคขับเขาออกแล้ว​ ก็ต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจนด้วย​ว่า​ มีการรีดเงินจริงหรือไม่​

เมื่อถามว่าจะสาวไปถึงบิ๊กบอสทางการเมืองตัวจริงหรือไม่​ นายษิทรา​ ระบุว่าถ้าจะเอาจริงก็คงเป็นเรื่องยาก ถ้าเขามีพฤติกรรมอย่างว่าจริง และถ้าต้องเอาเงินไปให้คนที่อยู่สูงกว่า เขาก็คงไม่รับสารภาพ เพราะจะไปถึงบิ๊กบอสได้ตัวนายสามารถเองต้องรับสารภาพ

นายษิ​ทรา​ ยังระบุอีกว่า​วันจันทร์นี้​ จะไปยื่น​ถึงนายสามารถ​อีก​ แต่ขออุปไว้ก่อน​ ว่า​เป็นที่ไหน

ด้านนายมุข สุไลมาน เลขานุการ ประธานสภาผู้แทนราษฎร​ เป็นผู้มารับหนังสือแทน​ กล่าวว่า​ ตอนนี้​ประธานรัฐสภา​ ได้สั่งให้ประธานกรรมาธิการทุกคณะ​ ตรวจสอบบุคคลที่ เข้ามาดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการทุกตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ใช้ตำแหน่งดังกล่าวไป หลอกลวงพี่น้องประชาชน ซึ่งหากยังพบว่ามีประเด็นดังกล่าว คนที่ต้องมีส่วนรับผิดชอบคือ​ "ประธานกรรมาธิการ" และหลังจากนี้ก็จะดำเนินการตรวจสอบเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่​ โดยมิชอบอย่างเข้มข้นต่อไป​

นายษิทรา ทนายความ​ ยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า​ คลิปเสียงบุคคล​ไม่จำเป็นจะต้องใช้โปรแกรมอะไรมายืนยัน​ แค่ใช้เรื่องของประสบการณ์และคำยืนยัน​ จากบุคคลที่สนิทใกล้ชิดก็พออ้าง​ได้ ไม่ใช่อ้างว่าเป็น​ AI 
พฤติกรรมแบบนี้มีตั้งแต่หัวหน้าพรรค.จนมาถึงสมาชิกพรรค ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง​

เมื่อถามว่า​คลิปเสียง​ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ นายษิทรา กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเสียงจะไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานได้​ แต่ต้องมีบุคคลยืนยัน ซึ่งกรณีนี้บอสพอล ก็ยอมรับว่า​มีการพูดคุยจริง​ แต่ไม่บอกว่าบุคคลที่คุยเป็นใคร และยอมรับว่ามีการเรียกรับเงินจริง​ ซึ่งเมื่อเช้าตัวเองได้ติดตามข่าวทางทนายของบอสพอล​ ก็ให้ข้อมูลว่ามีคนร้องเรียนว่ามีคนไปขอเงินบอสพอลเยอะมาก ทั้งนักร้องเรียน และทนาย ซึ่งตัวเองก็อยากให้สื่อมวลชนไปสืบหาต่อว่า​เป็นใคร เพราะไม่อยากให้คนพวกเชื้อโรค เชื้อร้าย​ อยู่ในสังคม ถ้าบอสพอล​ ยอมรับว่าพูดคุยกับใครในคลิปเสียงก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

ในส่วนของผู้เสียหาย​ จะดำเนินการต่อไปอย่างไรนั้น นายษิทรา กล่าวว่า​อยากให้ผู้เสียหาย​ ได้รับเงินคืนเร็วที่สุด ซึ่งก่อนหน้านี้​ได้มีการประสานกับบอสพอล​ ยอมรับ​ว่าจะให้คืนผู้เสียหายในกลุ่มเปราะบางก่อน แต่มาถูกจับเสียก่อน ทำให้ทรัพย์สินทั้งหมดถูกอายัดเข้าระบบ ซึ่งหลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตำรวจ อัยการ และ ปปง. ที่ต้องไปตรวจสอบผู้เสียหาย​ เพื่อที่จะเฉลี่ยทรัพย์สินคืนให้​ แต่ต้องยอมรับว่า​ อาจจะไม่ได้คืนเท่าจำนวนที่เสียไป

ส่วนที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบหมายให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษดีเอสไอ​ไปทำหนังสือถึงสภาทนายความ​ ให้ทำเรื่องฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่มนั้น นายษิทรา กล่าววว่า เป็นเรื่องถูกต้อง เพราะเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเสียหายในวงกว้าง ซึ่ง​ สภาทนายความมีบุคลากรที่มีความสามารถหากมาร่วมกันฟ้องคดีแพ่งแบบกลุ่ม ผู้เสียหายอาจจะไม่ต้องเข้ามาเป็นผู้เสียหายทุกคน แต่ก็สามารถได้รับการเฉลี่ยทรัพย์จากคดีนั้นได้ ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และอยากจะเป็นอีกหนึ่งเสียงเรียกร้องไปยังสภาทนายความให้ทำตามที่ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแนะนำ

advertisement

advertisement

คุณอาจสนใจข่าวนี้

ข่าวยอดนิยม

ข่าวทั่วไป เป็นกระแส