ทีมข่าว SPOTLIGHT สรุปรายละเอียดทุกแก็ดเจต เปรียบเทียบรุ่นต่อรุ่น พร้อมราคาและวันที่วางขาย มาให้แบบครบ จบในที่เดียว ที่นี่!
iPhone SE3 5G (รุ่นใหม่ 2022)
นับเป็นไฮไลท์หนึ่งของงานเมื่อคืนนี้ กับ iPhone SE3 5G หรือ iPhone SE (เจน 3 วอร์ชัน 2022) ซึ่งสื่อฝรั่งรายงานว่าเป็นไอโฟนรุ่นประหยัด แต่ยัดสเปกเทพไม่แพ้รุ่นพี่
แม้รูปโฉมดีไซน์จะเดิมๆ หน้าจอ 4.7 นิ้ว กล้องความละเอียด 12 MP f/1.8 แต่เรื่องสเปกต้องยกให้ เพราะนอกจากจะรับยุคใหม่โดยรองรับระบบ 5G ได้แล้ว ก็ยังใช้ชิปเซ็ต A15 Bionic แบบเดียวกับพี่ใหญ่อย่างตระกูล iPhone 13 ซึ่งการใช้ชิปเซ็ตเทพก็ทำให้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Deep Fusion และ HDR 4 เข้ามาเพิ่มด้วย
ไอโฟน เจน 3 รุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น IP67 และมีการอัพเกรดประสิทธิภาพแบตเตอร์รีให้ทนขึ้น ในขณะที่ราคาเปิดตัวที่ 429 ดอลลาร์ หรือราคาเริ่มต้นในไทยที่ 15,900 บาท นี่จึงเป็นไอโฟนที่แอปเปิลบอกว่า เหมาะกับทุกคนที่อยากเป็นเจ้าของไอโฟนสักเครื่อง (แต่ไม่ใช่สาวกไอโฟน) หรือ For People 'Who Just Want an iPhone'
iPhone SE3 5G จะเริ่มเปิดให้จองวันที่ 18 มีนาคมนี้ และวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการวันที่ 25 มีนาคม ราคาเริ่มต้น 15,900 บาท (แพงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนที่ 14,900 บาท)
iPhone 13 and iPhone 13 Pro (สีใหม่)
iPhone 13 กับ iPhone 13 Pro ไม่ได้มีฟีเจอร์ใหม่ๆ มาเปิดตัวในงาน แต่มีเครื่องเฉดสีใหม่มาอวดโฉมกับ "สีเขียวเหนี่ยวทรัพย์"
เขียวที่ว่านี้ยังแบ่งเฉดชนชั้นกันด้วย ระหว่าง "สีเขียว" (Green) ที่จะมีในรุ่น iPhone 13 กับ "สีเขียวอัลไพน์" (Alpine Green) สำหรับ iPhone 13 Pro ถ้าดูเผินๆ อาจจะแยกไม่ออก แต่ถ้าตั้งใจดูจะเห็นว่า เฉดสีเขียวอัลไพน์ จะมีความอ่อนกว่า และดูเรียบเท่คูลกว่า ในขณะที่เฉดเขียวปกติ จะดูเข้มข้นจริงจังกว่า
ที่ต้องเพิ่มโทนสีใหม่มาก็เพราะว่า iPhone 13 เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นขายดิบขายดีของ Apple และฮอทจนถึงขั้นมีส่วนช่วยทำให้บริษัทกลับมาทวงแชมป์เบอร์ 1 ในตลาดจีนได้ เมื่อปีที่แล้ว
สีเขียวทั้ง 2 รุ่น พร้อมเปิดให้สั่งจองได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 มี.ค. นี้ และจะเริ่มวางจำหน่ายในวันศุกร์ที่ 18 มี.ค. เป็นต้นไป
iPad Air Generation 5 (รุ่นใหม่ 2022)
iPad Air เจน 5 เป็นอีกหนึ่งแก็ดเจ็ตที่สาวกไอแพดตั้งตาคอย เพราะตัวใหม่นี้มาพร้อมกับชิปเซ็ต M1 Chip ซึ่งเป็นชิปเทพตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPad Pro ปัจจุบัน และการที่ Core CPU ถึง 8-Core ก็ช่วยให้ประมวลผลกราฟิกได้เร็วขึ้น 2 เท่า และทำให้ประสิทธิภาพเครื่องแรงขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า จนสามารถเทียบชั้นคอมพิวเตอร์แลปท็อปในระดับราคาเดียวกันได้เลย
สำหรับดีไซน์จะมาในขนาด 10.9 นิ้ว หน้าจอแสดงผล Liquid Retina และใช้งานคู่กับ Apple Pencil เจน 2 ได้เหมือนเดิม แต่จะมีการปรับปรุงกล้องหน้าให้เป็นเลนส์มุมกว้าง Ultrawide 12 ล้านพิกเซล ทำให้สามารถใช้งานฟีเจอร์ Center Stage มีพอร์ต USB-C ที่ส่งไฟล์เร็วขึ้น 2 เท่า และยังรองรับการเชื่อมต่อ 5G สำหรับการสื่อสารยุคใหม่ด้วย
iPad Air Generation 5 มีราคาเปิดตัวอยู่ที่ 599 ดอลลาร์ ส่วนราคาในไทยนั้น จะเริ่มต้นที่ 20,900 บาท สำหรับรุ่น 64GB และราคา 25,900 บาท สำหรับรุ่น 256 GB แต่ถ้าจะเพิ่มออปชั่นให้เชื่อมต่อระบบ Cellular ก็ต้องบวกไปอีกประมาณ 5,000 บาททั้งสองรุ่น โดยจะเริ่มเปิดพรีออเดอร์ให้จองตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 มี.ค. นี้ ก่อนที่วางจำหน่ายจริงวันที่ 18 มี.ค. (พร้อม iPhone SE3 5G)
Mac Studio และ Studio Display
บรรดาสื่อฝรั่งถึงกับให้ฉายา Mac รุ่นใหม่ของแอปเปิลว่า ร้ายกาจอย่างกับ "สัตว์ประหลาด" (Monster) เพราะแอปเปิลได้เปิดตัวเครื่องที่มาพร้อมชิปเซ็ตใหม่ M1 Ultra ที่เทพยิ่งกว่าชิปเซ็ตตัวเดิมอย่าง M1 Pro และ M1 Max โดยแอปเปิลเคลมว่าเป็น "ชิปเซ็ตที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเครื่องคอมพิวเตอร์ PC" เลยทีเดียว
เดสก์ทอปรุ่นใหม่นี้มาแยกกันระหว่างตัวเครื่อง Mac Studio และจอ Studio Display
Mac Studio จะมีให้เลือกทั้งรุ่นชิปเซ็ตเดิม M1Max และชิปเซ็ตตัวท็อปล่าสุด M1 Ultra ซึ่งบริษัทพัฒนามาจาก M1 Max 2 ตัว ทำให้มีประสิทธิภาพสูง สามารถจัดการเวิร์กโฟลว์สเกลใหญ่ๆ ได้ลื่นไหล โดยสามารถรันโปรแกรมซิมูเลชั่น หรืองาน 3D ขนาดใหญ่ๆ และเรนเดอร์ได้แบบไม่มีปัญหา และยังมีระบบระบายความร้อนที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
และเนื่องจากเป็นชิปเทพ จึงทำให้ขนาดเครื่องไม่จำเป็นต้องใหญ่โต แต่มาในดีไซน์เรียบเท่ขนาดกระทัดรัด 7.7 * 3.7 นิ้ว ที่สามารถเข้ากันได้ดีกับจอ Studio Display หรือทุกๆ จอ
Mac Studio ชิป M1 Max จะมีเมมโมรี 64GB ส่วนตัวท็อป M1 Ultra จะได้เมมถึง 128GB ส่วน SSD performance อยู่ที่ 7.4gb/s และ SSD capacity สูงถึง 8TB
ราคาเริ่มต้นสำหรับ M1 Max อยู่ที่ 1,999 ดอลลาร์สหรัฐ และเริ่มต้นที่ 3,999 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับ M1 Ultra ส่วนราคาในประเทศไทย M1 Max อยู่ที่ 69,900 บาท และ M1 Ultra อยู่ที่ 139,900 บาท
ส่วนจอ Studio Display ขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด 5K มาพร้อมกล้อง Ultrawide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ชุดไมโครโฟน 3 ตัว ออกแบบมาเพื่อลดเสียงสะท้อนและเสียงรบกวน ลำโพง 6 ตัว พร้อมเสียงระดับโรงภาพยนตร์ พอร์ต USB-C จำนวน 3 พอร์ต สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์
Studio Display มีราคาเริ่มต้นที่ 1,599 ดอลลาร์ ส่วนราคาในไทยนั้น จอกระจกมาตรฐานเริ่มต้น 54,900 บาท และจอกระจก Nano-texture เริ่มต้นที่ 65,400บาท