การปรับตัวของ เฟซบุ๊ก เพื่อสู้ศึกกับ Tiktok ทำให้เราผู้ใช้โซเชี่ยลมีเดียกำลังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงกันอยู่ในเวลานี้ ชัดที่สุดคือ IG ภายใต้การบริหารของ FB ถูกปรับให้เห็นฟีเจอร์ VDO และ Reel มากขึ้นกว่าภาพนิ่งไปเรียบร้อยแล้ว
คำถามคือ ทำไมเฟซบุ๊กต้องกลัว Tiktok ?
อนาคตเจ้าแห่งแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียของโลกจะเป็นอย่างไร? SPOTLIGHT สรุปข้อมูลมาให้
เพราะสถิติการเติบโตของ TikTok แอปวีดีโอสั้น ภายใต้บริษัท ไบต์แดนซ์ของจีนมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วภายในเวลาอันสั้น TikTokเริ่มต้นธุรกิจในปี 2016 ขณะที่ เฟซบุ๊กเริ่มในปี 2004 แต่ภายในเวลาไม่ถึง 6 ปีรายได้ของ TikTok ก็แทรงหน้าเฟซบุ๊กที่อยู่มานานกว่าไปเรียบร้อยแล้ว แถมยังไม่มีทีท่าว่า จะแผ่วลงเลย งานนี้ทำให้เฟซบุ๊กต้องดัน Reels ฟีเจอร์คลิปวีดีโอสั้น ที่หน้าตาฝาแฝดกับ TikTok มาสู้สุดพลัง
TikTok กลายเป็น แอปพลิเคชัน ที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในปี 2021 แถมเป็นแอปพลิเคชันที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุด 3 ปีซ้อนมาตั้งแต่ปี 2019 ข้อมูลล่าสุดพบว่า TikTok ถูกติดตั้งแล้ว 3 พันล้านครั้ง ทำให้ ByteDance เจ้าของ TikTok มีรายได้ปี 2021เพิ่มขึ้น 70% ราว 58,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2020 ByteDance มีรายได้เพิ่มขึ้น 100% จากปี 2019 นั่นทำให้มูลค่าของบริษัท ByteDance มากกว่า 180,000 ล้านดอลลาร์
สถิติเหล่านี้ชัดเจนแล้วว่า TikTok ได้แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดจากเฟซบุ๊กไปอย่างรวดเร็ว คนรุ่นใหม่ วัยรุ่น เป็นกลุ่มที่นิยมเล่น TikTok อย่างมาก ขณะที่คนใช้เฟซบุ๊กมีอายุที่มากกว่า ทั้งหมดจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคู่แข่งจึงอยู่นิ่งไม่ได้อีกต่อไป
ล่าสุดวันนี้มีรายงานผลประกอบการ ไตรมาสที่ 2 ปี 2022 ของ Meta ลดลงทั้งรายได้ และ กำไรโดยรายได้อยู่ที่ 28.82 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 1,058,000 ล้านบาท ลดลง 1% เทียบจากปีที่แล้ว กำไร 246,000 ล้านบาท ลดลง 36% มีผู้ใช้งาน 1.97 พันล้านคนต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์
และหากดูตั้งแต่ต้นปีมูลค่าหุ้นของ Meta หายไปแล้วกว่าครึ่ง สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนถึงศักยภาพของ Meta ในอนาคตอย่างมากว่าจะไม้ได้แข็งแกร่งอีกต่อไป มีการคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 3 จะอยู่ในช่วง 26 พันล้านดอลลาร์ถึง 28.5 พันล้านดอลลาร์ซึ่งนั่นคืออัตราการลดลงอย่างต่อเนื่อง
ตัวฉุดรายได้สำคัญของ Meta คือการที่แอปเปิ้ล ได้ปรับระบบปฏิบัติการ ios ใหม่ทำให้ Meta ไม่สามารถแทรค หรือเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำอีกต่อไป และที่สำคัญคือการเติบโตอย่างต่อเนื่องของแอปวิดีโอสั้น TikTok ที่เป็นตัวแย่งส่วนการแตลาดไปจากเฟซบุ๊ก นั่นจึงทำให้ Meta จริงจังกับการพัฒนา Reels วีดีโอสั้นในทั้งในไอจีและเฟซบุ๊กเพื่อแข่งขันกับ TikTok นั้นเอง
Head สูงสุดของ Instagram Adam Mosseri ถึงกับต้องออกมาโพส วีดีโอใน IG เพื่อบอกทิศทางว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เนื่องจากกระแสของการปรับ IG ให้มีแต่คอนเท้นท์ VDO มากกว่าภาพนิ่งก็ต้องยอมรับว่าทำให้บางคนไม่พอใจ เซเลป ดารา ดังต่างออกมาแสดงความเห็นไม่หยุด ร้อนถึง Mosseri ที่ต้องออกมาอธิบาย ใน 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1.IG มีการทำสอบปรับหน้าฟีดแบบเห็นเต็มจอ ในผู้ใช้งานกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เพื่อเป็นการทดสอบ ประสบการณ์ ในวีดีโอ และ ภาพ ว่าทำใ้หสนุกขึ้น มีความรู้สึกร่วมมากขึ้นหรือไม่แต่ยังไม่ได้นำมาใช้งานจริง
2.IG ยังสนับสนุนให้เกิดการอัพโหลดรูปภาพอยู่ เพราะมันเป็ยน DNA ของ IG แต่ยอมรับว่าคอนเทนต์ใน Instagram จะกลายเป็นวิดีโอมากขึ้นเรื่อยๆ หากลองเลื่อนดูในฟีดตอนนี้ดูสิ่งที่คนอื่นแชร์ใน Instagram ก็กลายเป็นวิดีโอมากขึ้นเรื่อยๆ เราต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกระแส แต่ก็สนับสนุนคอนเทนต์ประเภทรูปภาพควบคู่ไปด้วยกัน
3.คอนเทนต์ที่แนะนำโดย Instagram ซึ่งก็คือ คอนเทนต์บนหน้าฟีดของเรา จะมีผู้ใช้ที่เราไม่ได้ติดตามมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานได้เจอกับคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ที่คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีอยู่บน Instagram ด้วย
แต่ผู้ใช้งานมีตัวเลือกในการกดยกเลิกคอนเทนต์แนะนำนั้นๆ ออก หรือกดปิดกั้นไม่ให้คอนเทนต์เหล่านั้นแสดงบนฟีดได้สูงสุด 1 เดือน หรือไปดูหน้าฟีดของคนที่คุณติดตามอยู่เท่านั้น
Adam Mosseri บอกว่า เราก็จะยังคงทดลอง และพัฒนาระบบการแนะนำคอนเทนต์ที่น่าสนใจให้ดียิ่งขึ้น เพราะเราเชื่อว่ามันเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เหล่าครีเอเตอร์ เข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
เราจะช่วยครีเอเตอร์ให้มากที่สุด โดยเฉพาะครีเอเตอร์รายเล็กๆ ซึ่งเราเห็นว่าคอนเทนต์แนะนำโดย Instagram นี่แหละ ที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงกลุ่มผู้ชมใหม่ๆ และเพิ่มยอดผู้ติดตาม นี่คือความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่เกิดขึ้นในรวดเดียว แต่อยากให้รู้ว่า สิ่งสำคัญของ Instagram จะยังคงเหมือนเดิม
ใช้ AI แนะนำ Content เพิ่มขึ้น 30% ทั้งใน IG และ Facebook
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Meta โพสข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ภายหลังจากการพัฒนาระบบ AI ทำให้มีผู้เข้ามาใช้งาน Reels ผ่านทางเฟซบุ๊กและอินสตราแกรมเพิ่มขึ้นถึง 30% นั่นเท่ากับว่า การให้ผู้คนเห็น Reels จากระบบ AI เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะยิ่งเพิ่มการใช้งาน Reels ได้อีกในอนาคต
ซักเคอร์เบิร์ก ยังบอกด้วยว่า ปัจจุบันมีผู้คนเข้าถึง ผลิตภัณฑ์ของ Meta มากกว่า 3.6 พันล้านคนต่อเดือน และแนวโน้มการมีส่วนร่วมบน Facebook นั้นยังแข็งแกร่งกว่าที่เราคาดไว้
โดยปัจจุบัน 15% ของฟีดในเฟซบุ๊กและอินสตราแกรม ถูกแนะนำโดย AI ไม่ใช่ คน กรุ๊ป ที่ติดตามไว้ เราคาดว่า จำนวนการแนะนำโดยAI จะเพิ่มเป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีหน้า โดยAI เลือกเนื้อหาตามความสนใจ ซึ่งมันช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมในฟีดเราได้มากขึ้น และเป็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคตได้มากขึ้นเช่นกัน
.
ไม่ต้องแปลกใจถ้าวันนี้เราจะไม่ค่อยเห็นเพื่อน เห็นกลุ่มที่เราติดตาม เพราะนี่คือ การปรับตัวสู้ศึกของเฟซบุ๊ก มาร์ก บอกว่า ยังไงการเห็น เพื่อน และ กลุ่มที่ติดตาม จะยังคงทำหน้าที่หลักในฟีดต่อไป แต่แค่เค้าต้องเพิ่มโอกาสใหม่ๆในธุรกิจให้มากขึ้น
แม้ว่าความพยายามจะพัฒนา Reels ในอินสตราแกรม และ เฟซบุ๊ก แต่มันก็ยังไม่ได้ทำรายได้ให้กับบริษัทได้เท่ากับฟีเจอร์ฟีด และ สตอรี่ บวกกับมาร์กลงทุนอย่างมหาศาลไปกับ Metaverse ก่อนหน้านี้ จึงดูเหมือนMeta เต็มไปด้วยรายจ่าย แต่รายได้กลับลดลงเรื่อยๆ ความพยายามของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก หัวเรือใหญ่แห่ง Meta ที่ครองเบอร์ 1 ในโลกโซเชี่ยลมีเดียมาอย่างยาวนานกำลังเจอกับความยากลำบาก และท้าทาย ลองทายกันว่า อีก 1-2 ปี ข้่งหน้าอนาคต เฟซบุ๊ก จะเป็นอย่างไรต่อไป…
.
ที่มาข้อมูล